ปัญหาของรอยย่นใต้ตาไม่ได้เกิดขึ้นกับคนที่มีอายุมากเท่านั้นนะคะ หลังจากเลยช่วงวัยรุ่นมากไม่นาน อายุ 20 ต้น ๆ ก็สามารถเกิดรอยย่นใต้ตาได้แล้วค่ะ ยิ่งอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ความหย่อนคล้อยยิ่งคืบคลานเข้ามา ตามมาด้วยรอยย่นใต้ตา ริ้วรอยบนใบหน้า และร่องลึกต่าง ๆ ยิ่งทำให้ใบหน้าดูแก่และดูโทรมกว่าเดิม สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องของริ้วรอยรอบดวงตา ไม่ว่าจะเป็นวัยหนุ่มสาวหรือวัยผู้ใหญ่ก็ตาม ไม่ต้องกังวลว่ามันจะไม่มีวิธีการรักษาหรือกำจัดนะคะ เพราะในปัจจุบันนี้มีหลากหลายวิธีที่จะช่วยให้รอยย่นใต้ตามันเลือนลางหายไปค่ะ ใครที่อยากทราบว่ารอยย่นใต้ตาเกิดจากอะไร และสามารถกำจัดด้วยวิธีไหนบ้าง ต้องไม่พลาดบทความนี้เลยค่ะ ^^ – หมอตวง แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังที่ Amara Clinic
ขอบคุณภาพประกอบจาก : mddermcare
รอยย่นใต้ตามีกี่แบบ?
สำหรับรอยย่นใต้ตาจะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
- Dynamic Line หรือรอยย่นใต้ตาที่เกิดขึ้นเฉพาะตอนที่เรามีการแสดงสีหน้า อย่างการยิ้มหรือหัวเราะติดต่อกันช่วงหนึ่ง รอยย่นตรงนี้จะเกิดจากการหดตัวซ้ำของกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังบริเวณใต้ดวงตา (ยิ่งแสงสีหน้ามาก ยิ่งขยี้ตาบ่อย หรือร้องไห้บ่อยแค่ไหน โอกาสที่จะเกิดรอยย่นใต้ตาชัดก็จะเพิ่มขึ้น)
- Static Line หรือรอยย่นที่เกิดจากผิวหนังที่ขาดความกระชับเต่งตึงจากภายใน ไม่ว่าใบหน้าเราจะอยู่ในลักษณะไหน จะแสดงสีหน้าหรือไม่ก็ตาม ริ้วรอยตรงนี้ก็จะคงอยู่ไม่หายไปไหน เกิดจากการที่ผิวของเราขาดความชุ่มชื้น สูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินไปนั่นเองค่ะ
รอยย่นใต้ตาเกิดจากอะไร?
สำหรับรอยย่นใต้ตาหรือริ้วรอยรอบดวงตาของเรา มีสาเหตุมาจากการที่ผิวของเรามีสภาพที่ย่ำแย่ลง หรือกล่าวคือผิวขาดคอลลาเจน ขาดอีลาสติน มีกรดไฮยาลูรอนิกลดน้อยลง ไม่ชุ่มชื้น เริ่มแห้ง ไม่กระชับ และเริ่มหย่อนคล้อยตัวลงมาจนเกิดเป็นรอยย่นนี่แหละค่ะ แต่ว่าก่อนที่ผิวของเราจะอยู่ในสภาพนี้ มันย่อมมีที่มาที่ไป ที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการทำลายผิวแน่นอน โดยสามารถเกิดได้จากหลาย ๆ ปัจจัยเลย บางอย่างก็หลีกเลี่ยงได้ บางอย่างก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หมอจึงขอแบ่งเป็น 3 สาเหตุใหญ่ ดังนี้
ปัจจัยภายในร่างกาย
ปัจจัยภายในร่างกายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ก็คือความเสื่อมโทรมของผิวเมื่ออายุเยอะขึ้นค่ะ เคยสังเกตไหมคะว่าเด็ก ๆ มีผิวที่นุ่มนวล เรียบเนียน และเต่งตึงมาก นั่นเป็นเพราะว่าร่างกายของเด็ก ๆ มีอัตราการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินสูงมาก ประกอบกับมีการดื่มน้ำเยอะ ไม่ค่อยพบเจอแสงแดด ไม่ได้มีพฤติกรรมอะไรที่ทำให้เกิดริ้วรอย พูดง่าย ๆ ก็คือสภาพผิวดีสุด ๆ แต่พอคนเราอายุเพิ่มขึ้น เราก็ต้องออกจากบ้านไปเจอสิ่งต่าง ๆ มากมาย พฤติกรรมของเราที่ทำซ้ำซ้อนกันจึงทำให้เกิดริ้วรอยมากขึ้น
และอีกอย่างหนึ่งคือพอเราอายุได้ประมาณ 25 ปี อัตราการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินจะน้อยลงไปในทุกปี จากเส้นใยคอลลาเจนที่เคยยึดติดกันอย่างแน่นหนา ก็จะค่อย ๆ คลายตัวออกจากกัน ขาดความกระชับและความยืดหยุ่น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนแก่หรือคนที่มีอายุเยอะแล้ว มีรอยย่นใต้ตา มีริ้วรอยบนใบหน้า มีตีนกา หรือมีปัญหาผิวหน้าคล้อยตัวไม่กระชับ ทั้งนี้ทั้งนั้น คนอายุเท่ากันก็ใช่ว่าจะมีปัญหาผิวพรรณในระดับเดียวกันนะคะ เพราะเรื่องของผิวมันยังมีสาเหตุมาจากพฤติกรรมของแต่ละคน และสิ่งที่คนแต่ละคนต้องพบเจอในแต่ละวันด้วยค่ะ
พฤติกรรมของตัวเราเอง
การแสดงสีหน้า พฤติกรรมการขยี้ตา ย่นจมูก ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะทำให้มีโอกาสเกิดรอยย่นใต้ตามากขึ้น เพราะพฤติกรรมเหล่านี้จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นขยับตัวบ่อย ๆ พอขยับตัวมากเข้า ๆ จากกล้ามเนื้อที่เคยแน่นกระชับ ผิวที่ยืดหยุ่นเต่งตึงอัดแน่นไปด้วยคอลลาเจน ก็จะค่อย ๆ คล้อยตัวลง เกิดเป็นริ้วรอยตื้นลึกขึ้น นอกจากนี้ การที่เรามีความเครียดบ่อย ๆ , ไม่ทาครีมบำรุง, ไม่ทาครีมกันแดด, ไม่บำรุงให้รอบดวงตาชุ่มชื้น, นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ, สูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ก็ส่งผลให้เกิดรอยย่นใต้ตามากขึ้นไปอีกได้
มลภาวะหรือปัจจัยภายนอก
มลภาวะภายนอกจะเป็นพวกแสงแดง ควันไอเสีย เชื้อโรค ควันบุหรี่ และฝุ่นต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะเข้าไปทำลายและยับยั้งกระบวนการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิวของเราค่ะ คนที่เจอแสงแดดบ่อย ๆ สูบบุหรี่เยอะ ๆ จึงมีปัญหาผิวเหี่ยวไวกว่าคนทั่วไป ด้วยเหตุนี้เอง ถ้าเลี่ยงมลภาวะเหล่านี้ได้ก็ควรเลี่ยงนะคะ
ขอบคุณภาพประกอบจาก : lifescapepremier
วิธีกำจัดรอยย่นใต้ตา
หมอก็มีวิธีการป้องกันรอยย่นใต้ตา วิธีการลดเลือน และกำจัดรอยย่นใต้ตาออกไปมาฝากกันนะคะ ตั้งแต่วิธีง่าย ๆ คือการทาครีมบำรุงรอบดวงตาเพิ่มความชุ่มชื้น การฉีดสารเติมเต็มรอยย่นใต้ตาให้เต่งตึงขึ้น การฉีดลดเลือนริ้วรอยหยุดการทำงานของกล้ามเนื้อ และการลดเลือนด้วยพลังงานความร้อนจากคลื่นเสียงค่ะ
การทาครีมบำรุง / มาส์กหน้า
หมั่นทาสกินแคร์บำรุงรอบดวงตาเป็นประจำทุกวัน และมีการมาส์กหน้าหรือมาส์กรอบดวงตา 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อให้เซลล์ในบริเวณดังกล่าวไม่สูญเสียความชุ่มชื้นไป โอกาสที่เราจะมีรอยย่นใต้ตาก็จะลดน้อยลงค่ะ
ฉีดสารเติมเติม (Filler Substance)
ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเพื่อกำจัดรอยย่น ก็เป็นวิธีที่หลาย ๆ คนเลือกทำนะคะ เพราะทำแปปเดียวเสร็จ แถมไม่บวมไม่ช้ำด้วย เหมาะกับคนที่มีรอยย่นใต้ตา มีถุงใต้ตา ใต้ตาลึก มีรอยพับใต้ตา หรือใต้ตาหมองคล้ำไม่สดใสค่ะ ทั้งนี้ ใครที่สนใจในการฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ หมอแนะนำให้ตรวจเช็คความน่าเชื่อถือของคลินิก ดูผลงานแพทย์ และตรวจสอบฟิลเลอร์ก่อนรับบริการทุกครั้งนะคะ เพราะตอนนี้ฟิลเลอร์ปลอมก็ระบาดเยอะมากค่ะ ยิ่งเป็นบริเวณใกล้ ๆ กับดวงตา ถ้าฉีดของปลอมมีโอกาสที่จะเสี่ยงตาบอดสูงมาก นอกจากนี้ แพทย์ก็ต้องมีความชำนาญการในด้านนี้ด้วยนะคะ เพราะถ้าฉีดผิดจุดก็ไม่เป็นผลดีแน่นอน
ฉีดไขมันใต้ตา (Fat Grafting)
ใครที่รู้สึกว่าฟิลเลอร์ยังเป็นของนอกกายอยู่ รู้สึกว่ายังไม่สะดวกทำ ก็ลองดูเป็นการฉีดไขมันแทนก็ได้นะคะ หัตถการนี้จะเป็นการใช้ไขมันของตัวคนไข้เองเลย ไม่มีสารแปลกปลอม และไม่แพ้แน่นอน ข้อดีของการฉีดไขมันใต้ตาไม่ได้มีแค่การทำให้รอยย่นใต้ตาหายไปเท่านั้น ยังช่วยปรับสภาพผิวให้ชุ่มชื้น เต่งตึง กระจ่างใส และมีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วยค่ะ ถ้าจะฉีดไขมันหมอก็เชียร์ให้ฉีดไขมันทั่วหน้าไปเลยนะคะ เพราะมีความคุ้มค่ากว่ามาก ใบหน้าโดยรวมจะได้ดูเด็กลงด้วยค่ะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าวิธีนี้คนไข้จะต้องเข้ารับการดูดไขมันด้วย อาจจะมีแผลในบริเวณที่ดูดไขมันได้ ถ้าเป็นการดูดไขมันเพียงมาเติมเต็มใบหน้าเพียงอย่างเดียว ใช้ไขมันไม่เยอะค่ะ ดังนั้น แทบไม่รู้สึกเจ็บเลย ชิลมาก
อ่านแชร์ประสบการณ์เติมไขมันหน้าของเคสนี้บน Pantip
Clickฉีดลดริ้วรอยด้วย Botulinum Toxin
อย่างที่หมอได้บอกไปนะคะว่าส่วนหนึ่งของการเกิดรอยย่นใต้ตาขึ้น มาจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ ซึ่ง Botulinum Toxin หรือโปรแกรมโบท็oกซ์นี้ จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นผ่อนคลายลง และยับยั้งการหดเกร็งของกล้ามเนื้อเวลาที่เราแสดงสีหน้า โดยจะเริ่มเห็นผลหลังจากที่ทำไปแล้วประมาณ 5-6 วัน และสามารถอยู่ได้หลายเดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้ค่ะ
ยกกระชับด้วยคลื่นเสียง Ultrasound
ใครที่มีริ้วรอยบนใบหน้าเยอะ อยากกำจัดรอยย่นใต้ตา และต้องการทำให้กรอบหน้ามันชัดขึ้นกว่าเดิมพร้อม ๆ กัน สามารถเลือกเป็นโปรแกรม Ultraformer III ได้นะคะ โปรแกรมนี้จะคล้ายคลึงกับ HIFU ค่ะ ใช้พลังงานคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์เช่นกัน แต่มีความเข้มข้นมากกว่า (Micro & Macro Focused Ultrasound) จึงได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าถึง 5 เท่าเลยค่ะ ซึ่งโปรแกรม Ultraformer III นี้เป็นการยกกระชับผิว ลดรอยย่นใต้ตา และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนจากภายนอก ลงลึกสู่ผิวหนังได้จนถึงชั้นกล้ามเนื้อใบหน้า (SMAS) เลยค่ะ ระหว่างทำอาจจะรู้สึกเจ็บได้เล็กน้อย แต่ไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะจะมีการทายาชาให้ก่อนทำค่ะ
วิธีป้องกันรอยย่นใต้ตา
- ทาครีมกันแดดทุกวัน ทั่วทั้งใบหน้าและรอบดวงตา วันไหนที่ไม่ได้ออกจากบ้านก็สามารถทาได้นะคะ เพราะรังสี UVA และ UVB ก็สามารคืบคลานเข้ามาในบ้านของเราได้เช่นกันค่ะ
- ทาครีมบำรุงรอบดวงตาเป็นประจำ หรือมาส์กหน้าเสริมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
- หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรง ๆ เช็คหน้าแรง ๆ หรือแสดงสีหน้าเยอะ ๆ
- พยายามทำให้ตัวเองผ่อนคลายอยู่เสมอ ไม่เครียด เพื่อให้เราสามารถนอนหลับได้อย่างเต็มอิ่ม
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการได้รับควันบุหรี่ และระวังควันไอเสียต่าง ๆ
- ในแต่ละวันให้ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ให้เซลล์ได้อุ้มและกักเก็บน้ำไว้
สรุป
เป็นอย่างไรบ้างคะ? รอยย่นใต้ตาของผู้อ่านเป็นแบบไหน? คิดว่าเกิดจากพฤติกรรมของเราเอง หรือเกิดจากริ้วรอยแห่งวัย? ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากอะไรก็ตาม ผู้อ่านสามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเองได้เลยนะคะ หมอคิดว่าการทาครีมบำรุงผิวเป็นสิ่งที่เราต้องทำเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว มันใช้เวลาค่อนข้างนานที่จะเห็นผล เน้นการทำอย่างต่อเนื่อง ถ้าใครที่อยากให้รอยย่นใต้ตาหายไปเร็ว ๆ แนะนำให้เลือกเป็นการฉีดสารเติมเต็ม ฉีดโบ หรือทำโปรแกรม Ultraformer III เลย ยังไงก็สามารถสอบถามแอดมินทาง LINE หรือเข้ามาปรึกษาหมอที่ Amara Clinic ก่อนได้เลยนะคะ เดี๋ยวหมอช่วยประเมิน และแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมให้ค่ะ