วิธีฉีดน้ำหอมที่ถูกวิธี นับเป็นความลับนางฟ้าของสาว ๆ เลยค่ะ (หนุ่ม ๆ ก็ด้วย!) เพราะนอกจากจะช่วยให้เรารื่นรมย์ไปกับกลิ่นหอม ๆ ที่ถูกใจแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างบุคลิกให้ตัวเราโดดเด่นขึ้นมาได้ บางคนยังไม่ปรากฏตัวแต่กลิ่นน้ำหอมนำมาก่อนจนเป็นเอกลักษณ์เลยก็มี!
วิธีฉีดน้ำหอมให้ติดทนนาน จึงเป็นทริคที่หลายคนตั้งคำถามอยู่ตลอด ตั้งแต่วิธีน้ำหอมยังไงให้หอมฟุ้ง ฉีดน้ำหอมยังไงให้กลิ่นไม่จาง ติดทนตลอดทั้งวัน คนดังหรือผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ออกมาเสนอแนะวิธีฉีดน้ำหอมของตัวเองอยู่ตลอด เพราะเรื่องของกลิ่นตัวเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ยอมไม่ได้!
แม้นั่นจะเป็นสาเหตุที่หนึ่งที่ทำให้เราเสียบุคลิกภาพ ร้ายแรงที่สุดคือไม่มีคนเข้าใกล้! บางเคสก็โชคดี กลิ่นตัวไม่แรงแต่รู้วิธีฉีดน้ำหอมที่ถูกวิธีก็ทำให้ดูดีขึ้น แต่สำหรับคนที่กลิ่นตัวแรงถึงแรงมาก น้ำหอมก็ไม่สามารถช่วยได้ค่ะ แล้วเราจะแก้กลิ่นตัวยังไงได้บ้าง? ฉีดน้ำหอมช่วยจริงไหม? มาหาคำตอบทั้งหมดนี้ด้วยกันเลยค่ะ – หมอตวง AMARA Skin Center
วิธีฉีดน้ำหอมที่ถูกวิธี รวมทริคฉีดให้ติดทน!
วิธีฉีดน้ำหอมที่ถูกวิธีนั้นมีทริคหลากหลายมาก ๆ เลยค่ะ เพราะกลิ่นน้ำหอมนั้นค่อนข้างจะอ่อนไหวต่อสิ่งเร้า หนุ่ม ๆ สาว ๆ จึงต้องหาวิธีฉีดน้ำหอมให้ติดทนนานกันมาแชร์กันอยู่เสมอ และในบทความนี้ หมอรวบรวมวิธีฉีดน้ำหอมมาให้ทั้งหมด 12 ทริค จะมีเคล็ดลับการฉีดน้ำหอมแบบไหนบ้าง? มาดูกัน!
-
ฉีดน้ำหอมลงบนผิว
ปกติแล้วผิวของคนเราจะมีความชุ่มชื้นอยู่ค่ะ โดยสิ่งที่คงความชุ่มชื้นก็คือ ‘น้ำมัน’ อันถูกผลิตออกมาอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้ผิวแห้งจนเกินไป ซึ่งน้ำหอมเองจะยึดเกาะอยู่กับน้ำมันได้ดี หากผิวไม่แห้ง การฉีดน้ำหอมลงบนผิวจึงมีโอกาสติดทนนาน มากกว่าการฉีดน้ำหอมลงบนเสื้อผ้าที่ไม่มีตัวกลางให้น้ำหอมสามารถยึดเกาะได้
-
อย่าฉีดน้ำหอมเยอะเกินไป
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าน้ำหอมไม่ได้มีแค่ประเภทเดียวค่ะ ความเข้มข้นของน้ำหอมเป็นตัวตั้งให้เราตัดสินใจว่าต้องฉีดน้ำหอมมากหรือน้อย หากมีน้ำหอมความเข้มข้นสูงก็ระวังอย่าฉีดเยอะเกินไป เพราะอาจจะทำให้ฉุนหนักได้ แถมกลิ่นน้ำหอมที่เข้มข้นมาก ๆ ค่อนข้างติดทน ต้องใช้เวลานานเกือบทั้งวันกว่ากลิ่นจะจางลงค่ะ
ประเภทของน้ำหอม ยิ่งเข้มข้น…ยิ่งติดทนนาน!
น้ำหอมในปัจจุบัน มีด้วยกันทั้งหมด 5 ประเภทค่ะ ซึ่งจะแบ่งออกตามปริมาณส่วนผสมของหัวน้ำหอม หากมีความเข้มข้นมากก็จะทำให้ติดทนนานขึ้น แต่ถ้าหัวน้ำหอมค่อนข้างเจือจาง กลิ่นก็จะอยู่ได้ไม่นาน แบ่งออกเป็น
- หัวน้ำหอมหรือน้ำมันหอมระเหย ความเข้มข้น 20-40% ติดทนนาน 8 ชั่วโมง
- Eau De Parfum (EDP) ความเข้มข้น 15-20% ติดทนนาน 6-10 ชั่วโมง
- Eau De Toilette (EDT) ความเข้มข้น 10-15% ติดทนนาน 3-5 ชั่วโมง
- Eau De Cologne (EDC) ความเข้มข้น 2-5% ติดทนนาน 2-3 ชั่วโมง
- Eau Fraiche หรือ Body Mist ความเข้มข้น 1-3% ติดทนเพียง 1-2 ชั่วโมง
3. ฉีดน้ำหอมให้ห่างจากตัว อย่างน้อย 6 นิ้ว
หลายคนอาจเว้นระยะห่างในการฉีดน้ำหอมน้อยเกินไปค่ะ ซึ่งถ้าน้ำหอมที่เราเลือกใช้มันมีความเข้มข้นมาก ๆ ก็อาจจะกลายเป็นหอมฉุนเอาได้ ดังนั้น หากเราใช้น้ำหอมความเข้มข้นสูงอย่าง EDP ก็อาจจะต้องกำหนดระยะเอาไว้ที่ 6 นิ้วเป็นอย่างต่ำ เพื่อให้กลิ่นสามารถกระจายตัวได้ดี ไม่กระจุกอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งจนกลิ่นฉุนเอาได้
4. อาบน้ำและเช็ดตัวให้แห้งก่อนฉีดน้ำหอม
หากเราไม่ได้อาบน้ำแล้วฉีดน้ำหอม กลิ่นเดิมจากตัวเราอาจจะทำให้น้ำหอมเพี้ยนได้ค่ะ นอกจากนี้ เมื่อรูขุมขนของเราขยายหลังจากอาบน้ำ ก็จะช่วยให้น้ำหอมถูกดูดซับกลิ่นได้ดีกว่า แต่จะต้องเช็ดตัวให้แห้งก่อนนะคะ เพราะน้ำที่ยังเกาะอยู่บนผิวจะทำให้น้ำหอมเจือจางหรือกลิ่นไม่ติดได้เช่นกัน
5. ระวังกลิ่นน้ำหอมปนกับกลิ่นอื่น
สำหรับคนที่กำลังเปลี่ยนลุค อยากตัวหอม ๆ ก็คงมีสกินแคร์ดูแลผิวเยอะมาก ๆ อย่าลืมข้อนี้เด็ดขาด! กลิ่นตัวยิ่งแรงยิ่งทำให้กลิ่นน้ำหอมเพี้ยนฉันใด โลชั่นทาผิวแต่งกลิ่นก็ทำให้น้ำหอมเพี้ยนได้ฉันนั้น หากต้องการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวควรเลือกตัวที่ไม่มีกลิ่นหรือกลิ่นน้อย เพื่อไม่ให้กลิ่นตีกันจนเพี้ยนไปจากเดิมค่ะ
6. ทำให้ผิวชุ่มชื้นก่อนฉีดน้ำหอม
สืบเนื่องจากการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หลายคนอาจจะเลือกไม่ทาอะไรเลยเพื่อเลี่ยงการฉีดน้ำหอมแล้วกลิ่นเพี้ยน แต่จริง ๆ แล้วหมอแนะนำให้บำรุงผิวด้วยจะดีกว่าค่ะ เพราะน้ำหอมก็ต้องการความชุ่มชื้นอย่างที่ได้กล่าวไปในข้อแรก อาจจะเป็นโลชั่นหรือออยล์ทาผิวที่กลิ่นอ่อนหรือไม่มีกลิ่นก็ได้ เพื่อให้น้ำหอมเกาะผิวได้ดีขึ้น!
7. ฉีดน้ำหอมใส่ผม ต้องเลือกให้ดี
น้ำหอมจะมีน้ำและแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมอยู่ค่ะ ซึ่งเจ้าแอลกอฮอล์ที่ว่านี้มีผลข้างเคียงที่ทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองได้ เช่นเดียวกับเส้นผม หากฉีดพรมน้ำหอมใส่ผมโดยตรงอาจจะทำให้ผมแห้งเสียได้ หมอแนะนำให้เลือกน้ำหอมที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ผสมแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยมาก เลือกน้ำหอมที่ผลิตขึ้นสำหรับฉีดผมโดยตรง หรือใช้เป็นออยล์บำรุงผมจะดีกว่าค่ะ
8. ฉีดน้ำหอมแล้วห้ามถู!
หลายคนอาจจะเคยได้ยินวิธีฉีดน้ำหอมที่แนะนำว่าให้ฉีดลงบนข้อมือถู ๆ กันแล้วค่อยแต้มส่วนอื่นอีกที ซึ่งวิธีฉีดน้ำหอมแบบนี้ หมอแนะนำว่าอย่าทำค่ะ! เพราะนอกจากจะทำให้กลิ่นน้ำหอมมีความผิดเพี้ยนไปจากเดิมหรือไปรบกวนลำดับพีระมิดน้ำหอม ทั้งยังทำให้น้ำหอมอยู่ได้ไม่นานเท่าที่ควร ฉีดแล้วปล่อยให้แห้งจะดีที่สุดค่ะ
The Olfactory Pyramid พีระมิดน้ำหอม ช่วยเลือกกลิ่นที่ถูกใจ!
น้ำหอมหนึ่งขวด ไม่ได้มีแค่กลิ่นเดียวค่ะ หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่าน้ำหอมแต่ละกลิ่นจะมีท็อปโน้ตเป็นกลิ่นนี้ แต่มีเบสเป็นกลิ่นนั้น เรียกทุกอย่างนี้ว่า พีระมิดน้ำหอม (The Olfactory Pyramid หรือ Fragrance Pyramid) เป็นลำดับของกลิ่นน้ำหอมที่จะเจือจางจนได้กลิ่นอื่นที่แฝงอยู่เมื่อเวลาผ่านไป แบ่งเป็น
- Top Notes : อัตราการระเหยสูง จะได้กลิ่นอย่างนานที่สุด 15 นาทีเท่านั้น
- Middle Notes : อัตราการระเหยปานกลาง จะได้กลิ่นนานที่สุดเพียง 1 ชั่วโมง
- Base Notes : อัตราการระเหยต่ำ จะได้กลิ่นนานหลายชั่วโมงหรือเป็นตลอดทั้งวัน
การระเหยของน้ำหอมตามพีระมิดน้ำหอม จะช่วยให้เราสามารถเลือกกลิ่นน้ำหอมที่ต้องการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และยังเป็นคำตอบของคำถามว่าทำไมน้ำหอมจึงมีกลิ่นไม่เหมือนตอนแรกที่ฉีด เพราะกลิ่น Top Notes ค่อย ๆ เจือจางจนกลายเป็น Base Notes นั่นเอง
9. เลิกวิธีฉีดน้ำหอมแล้วเดินผ่าน!
เป็นอีกวิธีฉีดน้ำหอมวิธีหนึ่งที่ฮอตฮิตมาก ๆ แต่ไม่แนะนำเช่นกันค่ะ การฉีดน้ำหอมกลางอากาศแล้วเดินผ่าน เพื่อหวังให้กลิ่นกระจายตัวนั้นสามารถทำได้ แต่มันมีผลเสียต่อสุขภาพของเรามากกว่า เพราะน้ำหอมอาจจะตกค้างอยู่ตามพื้น เฟอร์นิเจอร์ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ในบ้านได้ หากไม่แน่ใจว่าน้ำหอมที่ใช้เป็นผลิตภัณฑ์ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Biodegradable) ให้เลี่ยงวิธีไว้ก่อนดีกว่าค่ะ
10. รู้วิธีฉีดน้ำหอมลงบนเสื้อผ้า
การฉีดน้ำหอมลงบนเสื้อผ้าก็เป็นอีกทริคหนึ่งที่ทำให้น้ำหอมกระจายตัวดี แต่เราจะต้องรู้วิธีฉีดน้ำหอมลงบนเสื้อผ้าที่ถูกต้องด้วย เพราะน้ำหอมเกาะตัวอยู่บนเนื้อผ้าได้ยาก ทำให้ไม่ติดทนเท่าไหร่ แต่ถ้าต้องการฉีดจริง ๆ ให้ฉีดน้ำหอมกลางอากาศและโบกเสื้อผ่านละอองน้ำหอม หรือฉีดนิดหน่อยด้านในเสื้อ อาจจะเป็นตรงที่กลิ่นตัวค่อนข้างแรงก็ได้ แต่ฉีดเยอะเกินไปนะคะ เพราะน้ำหอมอาจทิ้งคราบไว้กับผ้าบางชนิด โดยเฉพาะผ้าไหม
11. เลือกน้ำหอมให้เหมาะกับฤดูกาล
ข้อนี้เหมาะกับสภาพอากาศบ้านเราที่มีแต่ร้อนและร้อนมาก! เพราะอากาศก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้น้ำหอมกลิ่นเปลี่ยนแปลงไปได้ ทั้งกลิ่นแต่ละแบบของน้ำหอมก็เหมาะกับฤดูกาลที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ฤดูฝนอาจจะเหมาะกับกลิ่นแนวใบไม้ใบหญ้า กลิ่นสน หรือกลิ่นมอส แต่ฤดูร้อนจะเหมาะกับกลิ่นแนวเฟรช ๆ ผลไม้ เบอร์รี่ เป็นโอกาสในการเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอมให้เข้ากับสภาพอากาศ ช่วยเสริมบุคลิกได้เช่นกัน
12. เก็บน้ำหอมอย่างถูกต้อง
หลายคนเชื่อว่าการเก็บน้ำหอมในตู้เย็นเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุดเพราะน้ำหอมต้องเก็บในที่แห้งและเย็น แต่ผิดค่ะ! ในตู้เย็นเป็นแหล่งรวมอาหารหลากหลายชนิด ซึ่งก็มีกลิ่นของตัวเองเช่นกัน กลิ่นที่ว่านี้สามารถเข้าไปปะปนกับกลิ่นน้ำหอมจนเพี้ยนได้ ดังนั้น การเก็บน้ำหอมอย่างถูกต้อง ให้เก็บไว้ในที่แห้ง อุณหภูมิคงที่ และไม่มีแสงแดดส่องถึงก็พอแล้วค่ะ
ฉีดน้ำหอมตรงไหน ติดทนนานที่สุด?
ได้ทริควิธีฉีดน้ำหอมที่ถูกต้องกันไปแล้ว ก็อาจจะสงสัยกันว่าฉีดแล้วเดินผ่านก็ไม่ได้ ฉีดลงข้อมือแล้วถูก็ไม่ได้ หรือฉีดใส่เสื้อผ้าก็ไม่ควร แล้วต้องฉีดตรงไหนถึงจะดีที่สุด? คำตอบคือ ฉีดน้ำหอมตามจุดชีพจร หรือฉีดน้ำหอมบนร่างกายส่วนที่อุณหภูมิสูง รายละเอียดดังนี้ค่ะ
-
ฉีดน้ำหอมตามจุดชีพจร
จุดชีพจรของคนเราที่ฉีดน้ำหอมลงไปแล้วกลิ่นติดทนนานที่สุด มีด้วยกันทั้งหมด 5 จุดด้วยกัน ได้แก่ หลังใบหู ฐานคอ ข้อพับแขน ข้อมือ และข้อพับหัวเข่าค่ะ ซึ่งการฉีดน้ำหอมบนจุดชีพจรมีส่วนช่วยให้น้ำหอมติดทนนานมากขึ้น เพราะชีพจรจะมีการปล่อยความร้อนออกมา ทำให้น้ำหอมระเหยปล่อยกลิ่นตลอดทั้งวัน (แต่อย่าลืมว่าต้องฉีดที่ระยะห่างจากตัว 6 นิ้วขึ้นไปนะคะ)
-
ฉีดน้ำหอมบนส่วนที่อุณหภูมิสูง
การฉีดน้ำหอมบนส่วนที่อุณหภูมิสูงหรือส่วนที่ร้อนที่สุดคือทริคที่ดีมากอีกอย่างหนึ่งค่ะ โดยบริเวณที่แนะนำเลยคือ ใต้คางหรือลำคอ และบริเวณหัวไหล่ ซึ่งเป็นส่วนที่ค่อนข้างร้อนทำให้น้ำหอมระเหยกลิ่นได้ตลอดทั้งวัน รองลงมาคือส่วนที่อบอุ่นกำลังดี คือ หน้าอกหรือข้อมือ ก็ช่วยให้น้ำหอมกระจายกลิ่นได้ดีเช่นกันค่ะ
วิธีฉีดน้ำหอมชายกับหญิง ต่างกันไหม?
วิธีฉีดน้ำหอมชายกับหญิงนั้นไม่ได้มีความแตกต่างกันเลยค่ะ เพราะต้นกำเนิดของน้ำหอมไม่ได้ถูกคิดค้นขึ้นมาใช้เฉพาะสำหรับชายหรือหญิงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทั้งวิธีฉีดน้ำหอมยังยึดหลักความร้อนในร่างกาย ซึ่งมีเหมือนกันหมดทุกคน ไม่ว่าจะทริคแบบไหนก็สามารถเลือกใช้กันได้ตามต้องการ
แต่ประเด็นที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าวิธีฉีดน้ำหอมแบบต่าง ๆ เหมาะกับชายหรือหญิง ฯลฯ มักจะเกี่ยวกับกลิ่นมากกว่าค่ะ อย่างที่บอกไปว่าน้ำหอมสร้างมาแบบไม่มีเพศ ไม่ว่าหญิงหรือชายก็สามารถใช้น้ำหอมกลิ่นเดียวกันได้หมด สิ่งที่แบ่งแยกระหว่างน้ำหอมผู้ชายกับน้ำหอมผู้หญิงคือการทำการตลาด ที่มักนำเสนอน้ำหอมกลิ่นดอกไม้ในภาพของสตรี หรือกลิ่นแนวสปอร์ตในภาพของบุรุษมากกว่าค่ะ
พกน้ำหอมติดตัวบ่อย ๆ ระวังกลิ่นเปลี่ยน!
ปัจจุบัน น้ำหอมหลายยี่ห้อมักจะมีไซซ์พกพาออกมาให้ทดลองใช้กันอยู่ตลอด เมื่อลองแล้วชอบก็ซื้อขวดใหญ่มาใช้ ซึ่งหลายคนก็มักจะพกขวดน้ำหอมไซซ์ใหญ่ติดตัวไปด้วยเลย เพราะไม่ต้องมาคอยเติมเข้าขวดพกพา
หมอแนะนำว่าอย่าทำค่ะ เพราะน้ำหอมด้านในที่ถูกเขย่าไปมาตลอดเวลา อาจจะสัมผัสกับอากาศและเกิดการออกซิเดชั่น ทำให้กลิ่นเพี้ยนได้ ทางที่ดีถ้าต้องการพกน้ำหอม ซื้อไซซ์พกพาไว้ด้วยจะดีที่สุด ไม่แนะนำให้แบ่งใส่ขวดพกพาอีกที เพราะน้ำหอมอาจสัมผัสอากาศจนกลิ่นเปลี่ยนได้เช่นกัน
ตัวเหม็นจนน้ำหอมเอาไม่อยู่! ฉีดยังไงก็มีกลิ่นตัว ทำยังไงดี?
หมอได้แนะนำไปข้างต้นแล้วว่า คนที่มีกลิ่นตัวแรงถึงแรงมากไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยน้ำหอมค่ะ เพราะน้ำหอมไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อระงับกลิ่นตัว แต่มีไว้เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมให้ร่างกาย ดังนั้น ถ้าต้องการแก้กลิ่นตัวแรง หมอแนะนำให้เริ่มด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายโดยเฉพาะก่อนจะดีกว่าค่ะ
กลิ่นตัวแรงมักเกิดจากการทานอาหาร ส่วนเกินเยอะ หมักหมมง่าย ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลี่ยงอาหารกลิ่นแรง และรักษาความสะอาดของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ จึงจะช่วยลดกลิ่นตัวได้ตรงจุดยิ่งขึ้น และส่วนใหญ่ก็สามารถใช้วิธีฉีดน้ำหอมเข้าช่วย ทำให้ตัวหอมกลบกลิ่นตัวที่อ่อนลงได้
ทั้งนี้ ก็ยังกลุ่มที่เหงื่อออกเยอะ แค่อากาศร้อนขึ้นนิดหน่อยก็เหงื่อออกเร็วกว่าคนอื่น นั่นอาจจะเป็นอาการของโรคเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) ซึ่งเกิดจากต่อมเหงื่อของเราถูกกระตุ้นการทำงานมากเกินไป เหงื่อจึงถูกผลิตออกมาในปริมาณมาก มักเกิดตามรักแร้ ใบหน้า ฝ่ามือหรือฝ่าเท้า
การรักษาโรคเหงื่อออกมากผิดปกติ ไม่สามารถใช้วิธีฉีดน้ำหอมใด ๆ แก้ได้ค่ะ เพราะยิ่งเหงื่อออกเยอะก็ยิ่งมีโอกาสกลิ่นตัวแรง เบื้องต้นสามารถใช้ยาทาหรือยาทานก่อนได้ แต่ถ้าไม่สามารถแก้ได้จริง ๆ ก็สามารถเลือกวิธีระงับการทำงานของต่อมเหงื่อด้วยการฉีดโบท็อกในบริเวณที่เหงื่อออกเยอะ
การฉีดโบท็อก ไม่ว่าจะเป็นโบท็อกรักแร้ โบท็อกลดเหงื่อที่เท้าหรือมือ จะสามารถช่วยลดการทำงานของต่อมเหงื่อบริเวณนั้น ๆ ได้อย่างตรงจุดที่สุด เหมาะกับคนที่เหงื่อออกมาก แพ้น้ำหอม หรือแพ้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ช่วยลดกลิ่นเหงื่อได้ถึง 80% เลยทีเดียวค่ะ
FAQs
น้ำหอมจะติดทนได้นานอย่างมากคือ 6-8 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ แต่กลิ่นก็จะเจือจางเมื่อเวลาผ่านไป กลายเป็นกลิ่นเบส ตามพีระมิดน้ำหอมนั้น ๆ หมายความว่า ถึงแม้จะติดทนทั้งวัน กลิ่นก็คงไม่เหมือนเดิม ทางที่ดีแนะนำให้ฉีดซ้ำเมื่อกลิ่นจางดีกว่าค่ะ
ปกติแล้วคนเราจะมีกลิ่นตัวเฉพาะของแต่ละคนค่ะ ซึ่งเราไม่สามารถรับรู้กลิ่นนี้ได้ หากกลิ่นประจำตัวของเราผสมกับน้ำหอมก็สามารถทำให้กลิ่นน้ำหอมเปลี่ยนไป เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเวลาเราซื้อน้ำหอมตามคนอื่นถึงได้กลิ่นไม่เหมือนกัน
เราควรฉีดน้ำหอมอย่างน้อยรอบ 2-5 ครั้งทั่วตัว และถ้าต้องการให้กลิ่นหอมทั้งวันก็เพียงแค่ฉีดซ้ำวันละ 1 ครั้งหรือมากกว่า เมื่อกลิ่นจางเท่านั้น เพราะถ้าเราฉีดน้ำหอมซ้ำตอนที่กลิ่นยังแรง อาจจะทำให้กลายเป็นฉุนได้ค่ะ
โดยทั่วไป น้ำหอมจะอยู่ได้นานราว 3-5 ปีค่ะ ขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำหอมนั้น ๆ บางชนิดก็อยู่ได้นานเพียงหนึ่งปี บางชนิดถ้าเก็บรักษาดี ๆ ก็อยู่ได้หลายเกือบสิบปีก็มี ยิ่งน้ำหอมมีความเข้มข้นสูงก็มีโอกาสอยู่ได้นานกว่า ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกด้วยนะคะ ถ้ากลิ่นไม่เหมือนเดิมอย่างชัดเจนก็อาจจะถึงเวลาทิ้งแล้วก็ได้เช่นกัน
ไม่ควรค่ะ เพราะเหงื่อมักจะปะปนมากับกลิ่นอื่น ๆ และน้ำมันบนผิว ทำให้กลิ่นน้ำหอมเพี้ยน ผสมกันจนกลิ่นตัวแรงกว่าเดิม หรือกลิ่นไม่ติดได้ หากต้องการเติมน้ำหอมระหว่างวัน ให้เปลี่ยนมาฉีดน้ำหอมบนเสื้อผ้าแทน (แต่ถ้าเหงื่อออกจนชุ่มเสื้อผ้า ไม่แนะนำให้ฉีด เพราะเป็นสาเหตุของกลิ่นตัวแรงได้เช่นกัน)
สรุป ฉีดน้ำหอมให้ติดทนนาน ต้องทำอย่างไร?
วิธีฉีดน้ำหอมให้ติดทนนาน จะต้องฉีดลงบนผิวที่มีความชุ่มชื้นเพียงพอจะดีที่สุด ไม่เปียกน้ำ เพื่อให้น้ำหอมสามารถเกาะอยู่บนผิวได้นาน การฉีดน้ำหอมที่ถูกต้องจะต้องไม่ถูน้ำหอมกับผิว เพื่อลดการเจือจาง หลีกเลี่ยงการฉีดน้ำหอมบนผมหรือเสื้อผ้า เน้นฉีดบนจุดชีพจรหรือบริเวณที่มีความร้อนสูงก็จะทำให้น้ำหอมติดทนนานตลอดทั้งวัน ทั้งนี้ ก็ควรทำความรู้จักน้ำหอมแต่ละประเภท และเลือกน้ำหอมที่เหมาะกับตัวเองด้วยนะคะ
สำหรับใครที่มีปัญหาเหงื่อออกมา กลิ่นตัวแรง ไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีฉีดน้ำหอม ทานยา หรือทายา สามารถปรึกษาหมอเพื่อหาแนวทางแก้ปัญหาเหงื่อตัวออกเยอะที่ AMARA Skin Center ได้เสมอนะคะ