กลิ่นอันไม่พึ่งประสงค์ มักจะเป็นปัญหาที่เกือบทุกคนจะต้องเจอเลยค่ะ เพราะกลิ่นตัวมักจะรุนแรงเมื่อร่างกายของเราย่างเข้าสู่วัยรุ่น หรือบางคนโตเร็วหน่อยก็เริ่มมีกลิ่นตัวตั้งแต่พึ่ง 10 ขวบ หรือแค่ไปวิ่งเล่นเยอะ ๆ จนเหงื่อออกก็มีกลิ่นตัวแล้ว แต่วันนี้ หมอตวง Amara Clinic มีวิธีแก้มาฝากค่ะ! อยากรู้กันไหมคะว่ากลิ่นตัว เกิดจากอะไรได้บ้าง? กลิ่นตัวแก้ยังไง? มีวิธีรักษาที่ต้นเหตุไหม? มาดูกันเลย!
กลิ่นตัว เกิดจากต่อมกลิ่น (Apocrine Gland) สร้างของเหลวจากกรดไขมันหลาย ๆ ชนิด ออกมาในรูปของน้ำเหลวข้นที่มนุษย์ไม่สามารถได้กลิ่น แต่ที่มีกลิ่นเหม็นเพราะเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนังของเราเข้าไปย่อยสารนี้ ทำให้มีกลิ่นเหม็นนั่นเองค่ะ
ต่อมกลิ่นเป็นต่อมเหงื่อชนิดหนึ่งที่จะทำงานในช่วงวัยรุ่น และหลังจากนั้นจะไม่ต้องอาศัยฮอร์โมนใดเข้ามากระตุ้นให้ทำงาน ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีกลิ่นที่เหมือน ๆ กัน แต่เหตุผลที่ว่าทำไมคนเราถึงกลิ่นตัวเหม็นไม่เหมือนกัน? เพราะในโครงสร้างผิวหนังจะมีต่อมเหงื่อ (Eccrine gland) ซึ่งทำหน้าที่ระบายความร้อนออกจากร่างกายด้วยการหลั่งเหงื่อ (Sweating) โดยน้ำเหงื่อสามารถมีกลิ่นที่เปลี่ยนไปได้จากการรับประทานเครื่องเทศหรืออาหารที่มีกลิ่นแรงมาก ๆ ส่งผลให้เหงื่อที่ถูกขับออกมาจากร่างกายมีกลิ่นคล้าย ๆ กับสิ่งที่ทานเข้าไป บางวันเราจึงมีกลิ่นตัวไม่เหมือนเดิมและแต่ละคนจึงมีกลิ่นตัวไม่เหมือนกันค่ะ
กลิ่นตัว vs กลิ่นเหงื่อ ต่างกันไหม?
จากที่หมอได้เล่าไป แน่นอนกว่ากลิ่นตัวแตกต่างจากกลิ่นเหงื่อแน่นอนค่ะ เพราะกลิ่นตัว เกิดจาก ‘ต่อมกลิ่น’ ที่ผลิตของเหลวออกมาผสมกับเชื้อแบคทีเรียบนผิว แต่ในขณะเดียวกัน กลิ่นตัว เกิดจาก ‘ต่อมเหงื่อ’ ที่อยู่บนผิวหนังผลิตเหงื่อออกมาเมื่อร่างกายร้อนขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเหงื่อจะมีส่วนผสมคือน้ำและเกลือเป็นหลัก แต่ถ้าทานอาหารกลิ่นแรง ๆ ก็จะทำให้กลิ่นเหงื่อเปลี่ยนไป แต่ในขณะเดียวกัน กลิ่นตัว เกิดจากกลิ่นเหงื่อผสมกับกลิ่นจากต่อมกลิ่นที่อยู่ในบริเวณเดียวกันก็ได้เช่นกัน อาจจะเป็นเหงื่อรักแร้ หรือมือและเท้า
ปัจจัยที่ทำให้เกิดกลิ่นตัว มีอะไรบ้าง?
สาเหตุของการเกิดกลิ่นตัว เกิดจากต่อมกลิ่นและต่อมเหงื่อ ที่ผลิตของเหลวและเหงื่อออกมาผสมกับเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนังของเราจนทำให้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยมีปัจจัยเบื้องต้นคือการรับประทานอาหารในแต่ละวันของเรา แต่สิ่งที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวนั้นมีปัจจัยกระตุ้นให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์อื่น ๆ มากมายเลยค่ะ
-
การทานอาหาร
เป็นปัจจัยแรกที่หมอได้เน้นเอาไว้แล้ว แต่จะมาเพิ่มเติมว่า กลิ่นตัว เกิดจากการทานอาหารที่ชัดเจนที่สุดคือ อาหารจำพวกเครื่องเทศอย่างแกงกะหรี่ แกงที่มีส่วนผสมของขมิ้น กระเทียม หรืออาหารประเภทอื่น ๆ ที่มีซัลเฟอร์สูง ซึ่งมีกลิ่นแรงอยู่แล้วอย่างเนื้อสัตว์ อาหารหมักดอง (กลิ่นเปรี้ยวมาแน่!) อาหารไขมันสูง (ตกค้างในลำไส้จนเกิดแก๊ส) ทำให้เหงื่อที่ถูกขับออกมามีกลิ่นเหมือนกันไปด้วย
-
น้ำหนักที่มากเกินไป
ในที่นี้คือคนที่อ้วนจนมีเนื้อส่วนเกินออกมาเยอะมาก ๆ ทำให้มีพื้นที่กดทับของผิวหนังมากกว่าคนผอม เวลาเหงื่อออกจึงหมักหมมมากกว่า บวกกับการที่คนอ้วน ต่อมเหงื่อจะทำงานหนักกว่า ทำให้มีกลิ่นตัวได้ง่ายนั่นเองค่ะ
-
เป็นเบาหวาน
เป็นผลข้างเคียงของเบาหวานที่จะทำให้กลิ่นตัวของเราแปลกไปค่ะ คนที่เป็นเบาหวานจะเกิดจากการที่น้ำตาลในเลือดสูงจนไตไม่สามารถดูดกลับเพื่อนำไปใช้ได้หมด ทำให้น้ำตาลยังอยู่ในกระแสเลือดในปริมาณมาก เวลาร่างกายขับน้ำออกจากร่างกายตามกระบวนการ ซึ่งก็ออกมาในรูปของเหงื่อหรือปัสสาวะ ทำให้มีน้ำตาลปนออกมาด้วย กลิ่นเหงื่อของเราเวลาเป็นเบาหวานจึงจะมีกลิ่นเหมือนขนมค่ะ
รู้หรือเปล่า? กลิ่นตัวบอกโรคได้นะ!
- กลิ่นเหมือนขนมหวาน = เป็นเบาหวาน
- กลิ่นเหมือนอุจจาระ= ลำไส้อุดตันหรือระบบย่อยอาหารมีปัญหา ทำให้หมักหมม
- กลิ่นขม = ตับมีปัญหาทำให้ย่อยไม่ดี มักตามมาด้วยอาการคลื่นไส้บ่อย ๆ
- กลิ่นคาวปลา = โรคพันธุกรรม (Fish-Malodor Syndrome) หรือจากโปรตีนส่วนเกินในอาหาร การทานยาบางชนิด หรือเป็นโรคตับพิการ
- กลิ่นไข่เน่า = ทานเนื้อสัตว์มากเกินไป โดยเฉพาเนื้อแดงและเนื้อแปรรูป ซึ่งมีกรดซัลฟิวริกคล้ายกลิ่นไข่เน่า
- กลิ่นแอลกอฮอล์ = ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป มักมีกลิ่นแรงหลังปาร์ตี้หนัก
- กลิ่นเหงื่อล้วน = เป็นสัญญาณของคนที่มีสุขภาพที่ดี แต่หากเหงื่อออกทั้งที่ไม่ได้อากาศร้อน ตอนตื่นนอน หรือไม่ได้เครียดหนัก อาจเป็นสัญญาณของโรค Hyperhidrosis ได้ค่ะ
-
การทานยาบางชนิด
กลิ่นตัว เกิดจากยารักษาโรคบางชนิดได้เช่นกันค่ะ อย่างมอร์ฟีน ยาลดไข้ หรือยารักษาโรคซึมเศร้า จะทำให้เหงื่อออกเยอะกว่าปกติ ทำให้กลิ่นของร่างกายเปลี่ยนแปลงไป หากไม่ได้ทานยา เหงื่อก็จะออกในปริมาณปกติเท่าเดิม กลิ่นก็จะตามมาน้อยค่ะ
-
ความเครียด
เกิดจากต่อมกลิ่นผลิตของเหลวออกมาปริมาณมาก เพราะร่างกายมีความเครียด ซึ่งจะมีกลิ่นรุนแรงกว่าเวลาปกติ ทำให้ยิ่งออกมาผสมกับเหงื่อหรือแบคทีเรียก็ยิ่งมีโอกาสเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์มากกว่าค่ะ
กลิ่นตัวแรง รักษาอย่างไร? ให้ตัวหอมยาวนาน
บ่อยครั้ง เรามักไม่ได้กลิ่นของตัวเองสักเท่าไหร่ ถ้าไม่ได้ตั้งใจดมจริง ๆ แต่คนรอบข้างหรือแค่คนที่เดินผ่านจะสามารถได้กลิ่นเราง่ายกว่า เป็นเรื่องที่รบกวนคนอื่น ๆ โดยไม่ได้เจตนา ทั้งนี้ ถ้าเรารู้ตัวก็จะทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเอามาก ๆ หมอจึงนำวิธีรักษากลิ่นตัวให้หอมมากขึ้นค่ะ!
1. รักษาสุขอนามัย
การรักษาความสะอาดของร่างกายเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ทำได้ทุกวันค่ะ วิธีนี้เหมาะกับคนที่มีกลิ่นตัวไม่แรงมาก ลองอาบน้ำให้ทั่วถึง เน้นบริเวณรักแร้หรือข้อพับที่หมักหมมง่าย หลังอาบน้ำก็ต้องเช็ดตัวให้แห้ง เพราะแบคทีเรียชอบที่เปียกชื้น ต่อให้อาบบ่อยแต่ไม่เช็ดตัวก็จะมีกลิ่นอับอยู่ดีค่ะ
2. เลี่ยงอากาศร้อน
ชีวิตประจำวันของคนไทยจะต้องเจอกับอากาศร้อน ๆ เป็นธรรมดา แต่สำหรับคนที่เหงื่อออกง่ายและเยอะ ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเลยค่ะ เพราะยิ่งร้อนก็จะยิ่งเหงื่อออก กลิ่นตัวกลิ่นเหงื่อก็ตามมา โดยเฉพาะตอนที่เหงื่อออกเท้าในวันอบอ้าวก็จะเหม็นอับมาก ๆ หากไม่สามารถเลี่ยงได้ก็ต้องพกทิชชู่หรือทิชชู่เปียกไว้เช็ดตามตัวกันบ้างแล้ว เพราะประเทศไทยร้อนไม่หยุด!
3. ฉีดน้ำหอม
นอกจากการรักษาสุขอนามัยให้สะอาดไร้แบคทีเรียแล้ว หนุ่ม ๆ สาว ๆ บางท่านอาจจะยังรู้สึกว่ากลิ่นตัวของเรายังไม่ค่อยน่าเข้าใกล้ ก็อาจจะฉีดน้ำหอมเพิ่มเข้าไปได้ค่ะ วิธีนี้เหมาะกับการทำควบคู่กับวิธีที่ 1 และ 2 ค่ะ เพราะถ้าเราไม่อาบน้ำแต่ฉีดน้ำหอมกลบ กลิ่นตัวที่หมักหมมก็อาจจะปนกับน้ำหอมจนกลิ่นเปลี่ยน ยิ่งถ้าผสมกับเหงื่อยิ่งแล้วใหญ่เลยค่ะ แต่อย่าไปฉีดในจุดที่ผิวบอบบางอย่างน้องสาวเรานะคะ นอกจากกลิ่นน้องสาวจะไม่หายแล้ว ผิวอาจจะระคายเคืองด้วย!
4. ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย
บางครั้ง การฉีดน้ำหอมก็อาจจะทำให้กลิ่นตัวเราแย่กว่าเดิมได้ การใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย (Deodorants) ที่จะมีสารลดเหงื่อ มีสรรพคุณฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดกลิ่น และเติมความหอมด้วยน้ำหอม จะช่วยลดกลิ่นตัวและกลบกลิ่นภายในครั้งเดียว สามารถใช้ทุกวันได้ เหมาะกับคนที่มีกลิ่นตัวนิดหน่อย และไม่ได้ต้องการความหอมฟุ้งขนาดนั้นค่ะ
5. ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
เมื่อทราบแล้วว่ากลิ่นตัว เกิดจากของเหลวที่ออกมาจากต่อมกลิ่นผสมกับแบคทีเรียจนเป็นกลิ่นตัว เราก็ต้องกำจัดตั้งแต่แบคทีเรียเลยค่ะ! โดยการเน้นใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะสบู่ ยาสระผม โรลออน หรือสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันแบคทีเรียก็ได้เช่นกันค่ะ แต่วิธีนี้จะช่วยลดกลิ่นตัวที่เกิดจากแบคทีเรียเท่านั้น ถ้าเป็นคนกลิ่นเหงื่อแรงก็ไม่ได้ผลมากนัก
6. ใช้สารระงับเหงื่อ
สารระงับเหงื่อเป็นตัวยาชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Antiperspirants โดยจะมีอลูมิเนียมคลอไรด์ (Aluminium Chloride) ที่มีส่วนประกอบของโลหะ ใช้ทาบริเวณที่มีต่อมเหงื่อมาก เช่น รักแร้ เพื่ออุดต่อมเหงื่อ ทำให้เหงื่อออกมาน้อย ผสมกับแบคทีเรียได้ยาก กลิ่นเหงื่อก็จะลดลงค่ะ
7. กำจัดขนบริเวณที่มีกลิ่นตัวแรง
ขนที่ยาวและเยอะมาก ๆ อาจจะกลายเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียได้ค่ะ หนุ่ม ๆ สาว ๆ อาจจะใช้การเล็มตัดแต่งขนสักหน่อยให้ไม่ยาวมาก เพื่อให้รูขุมขนระบายอากาศได้สะดวก เวลาเหงื่อก็จะไม่อับชื้นมาก กรณีเดียวกับการอาบน้ำแล้วเช็ดตัว ถ้าไม่อยากเล็มหรือโกนทิ้งก็ต้องรักษาความสะอาดให้ดีค่ะ
บทความที่น่าสนใจ
-
- แว็กซ์ขนรักแร้ VS เลเซอร์ขนรักแร้ แบบไหนดีกว่ากัน!?
- เลเซอร์ขนน้องชาย ดีไหม? ผู้ชายทำได้จริงหรือเปล่า!?
- กําจัดขนน้องสาว วิธีไหนดี!? ขนหาย ไม่เป็นตอ!!
8. ฉีดโบท็อก
วิธีนี้เกิดมาเพื่อคนที่มีเหงื่อออกเยอะมากจริง ๆ และไม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นตัวหรือเหงื่อได้เพราะแพ้หรือไม่ได้ผล การฉีดโบท็อก (Botulinum toxin Type A) จะทำให้ต่อมเหงื่อทั้งสองแบบทำงานน้อยลง ทำให้กลิ่นเหล่านี้ลดลงกว่า 80% ขึ้นไปเลยค่ะ เป็นการลดกลิ่นตัวที่ตรงจุดและอยู่ได้นานหลายเดือน คนที่กลิ่นตัวแรงมาก ๆ แต่ไม่อยากผ่าตัด ต้องวิธีนี้ค่ะ
9. ผ่าตัดต่อมกลิ่น
เป็นผ่าตัดนำต่อมกลิ่นออก ตรงจุดและได้ผลทันที ทว่าจะต้องแลกกับการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดให้ดี รวมถึงค่าใช้จ่ายที่แพงกว่าวิธีอื่น แถมยังมีผลข้างเคียงอื่น ๆ เช่น อาจติดเชื้อหรือเป็นแผลเป็น ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการผ่าตัดอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดต่อมกลิ่นจะต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นนะคะ ไม่อย่างนั้นได้เจ็บตัวฟรีแน่นอน
ฉีดโบท็อก ลดกลิ่นตัวแรง สยบกลิ่นเปรี้ยว!
หากทราบกันแล้วว่ากลิ่นตัว เกิดจากอะไร? หนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็สามารถเลือกวิธีแก้กลิ่นตัวตามแบบฉบับของตัวเองได้เลยค่ะ แต่ถ้าลองสังเกตและแก้ปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วยตัวเองแล้วแต่ไม่รอด ก็ต้องกลับมาแก้ที่ต้นตออย่างต่อมเหงื่อ ซึ่งการฉีดโบท็อกลดกลิ่นตัวก็เป็นวิธีที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ในการทำหัตถการครั้งเดียวค่ะ!
โบท็อกลดกลิ่นตัว ฉีดตรงไหนได้บ้าง?
สามารถฉีดได้บริเวณรักแร้ มือ และเท้าเลยค่ะ โดยจะมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะนิยมฉีดที่รักแร้เพราะมีต่อมเหงื่ออยู่เยอะ รองลงมาคือเท้า ไม่ให้เหงื่อหมักหมมจนเท้าเหม็น และสุดท้ายคือบริเวณฝ่ามือค่ะ
โบท็อกลดกลิ่นตัว ราคาเท่าไหร่?
ราคาฉีดโบท็อกเพื่อลดกลิ่นตัวจะเริ่มตั้งแต่ราว 3,500 – 35,000 บาท แล้วแต่จำนวนยูนิต บริเวณที่จะฉีด และมาตรฐานของสถานพยาบาลค่ะ นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบท็อกที่เลือกฉีดด้วย หากเป็นโบท็อกโซนยุโรปก็จะค่อนข้างราคาสูงกว่าโบท็อกแถบเอเชียค่ะ
โบท็อกลดกลิ่นตัว ดียังไง?
การลดกลิ่นตัวระยะยาวอีกอย่างคือการผ่าตัดใช่ไหมคะ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่อยากผ่าตัดค่ะ เพราะการผ่าตัดจะต้องดูแลตัวเองและเสี่ยงติดเชื้อที่แผล ทำให้การฉีดโบท็อกนั้นสะดวกกว่า ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องรักษาแผล ราคาไม่แรงเท่า แต่ก็มีความเสี่ยงจากแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญมากพอหรือโชคร้ายไปเจอโบท็อกปลอม (หรือผสมน้ำเกลือมา) ก็จะทำให้ผลลัพธ์ออกมาไม่ดีค่ะ
ฉีดโบท็อก ลดกลิ่นตัว ที่ Amara Clinic
โบท็อกเป็นนวัตกรรมความสวยความงามที่ได้รับความนิยมมาหลายปี และในส่วนของการฉีดโบท็อกลดเหงื่อ ลดกลิ่นตัวก็ได้รับความสนใจมากเช่นกันค่ะ หลายคลินิกและสถานพยาบาลต่างก็มีบริการฉีดโบท็อกเพื่อลดกลิ่นตัวที่ต่างกันไป แต่ที่ Amara Clinic เราใส่ใจทุกขั้นตอน ไม่ทิ้งคนไข้ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดเวลาค่ะ
- มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนัง ดูแลคนไข้ด้วยตัวเอง
- ประเมินการรักษาแบบเคสต่อเคส ไม่ขายแต่ยูนิต
- ติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด มีทีมงานให้ความช่วยเหลือตลอดการรักษา
- คลินิกสะอาด มาตรฐานโรงพยาบาลสากล เครื่องมือฆ่าเชื้อทุกครั้งก่อนทำ
- ตรวจสอบโบท็อกได้ว่าเป็นของแท้หรือปลอม ด้วยการแสกน QR Code ข้างกล่องก่อนฉีด
บทความที่เกี่ยวข้อง
สรุป
หลังจากทราบสาเหตุว่ากลิ่นตัว เกิดจากอะไร ก็จะสามารถเลือกวิธีการดูแลกลิ่นตัวของตัวเองได้ง่ายขึ้นใช่มั้ยคะ? แต่หากยังไม่หาย ปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ช่วยกำจัดกลิ่นตัวมากมาย แต่ไม่ว่าจะตัดสินใจใช้วิธีไหน ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของร่างกายเราไว้ก่อนนะคะ เลือกสถานที่ที่น่าเชื่อถือ คุณหมอชำนาญ เครื่องมือและตัวยาเป็นของแท้ เพื่อไม่ให้ได้รับอันตรายหลังทำ ส่วนใครที่กำลังมองหาที่ฉีดโบท็อกเพื่อลดกลิ่นตัว ไม่รู้จะฉีดโบท็อก ลดกลิ่นตัว ที่ไหนดี? สามารถเข้ามาปรึกษาหมอตวงที่ Amara Clinic ได้เสมอนะคะ