หลุมสิว (Atrophic Acne Scars) ปัญหารอยแผลเป็นที่เกิดจากการเป็นสิวที่มีการอักเสบ ยิ่งอักเสบและมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ ความกว้างและลึกของหลุมสิวก็จะมากเท่านั้น วิธีการรักษาก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบาก ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนก็ต้องใช้เครื่องมือพิเศษเข้าช่วย
การรักษาหลุมสิวแต่ละแบบ จะมีวิธีที่แตกต่างกันออกไปหลายวิธี ซึ่งการทำ Pico laser หลุมสิวก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกยอดนิยมในเรื่องของการลบรอยสิว รอยสัก ฝ้า กระ และจุดด่างดำ แต่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าในทางการแพทย์ยังสามารถใช้ Pico laser รักษาหลุมสิวบางแบบได้ด้วย แล้วเครื่องเลเซอร์หลุมสิวประเภทนี้ช่วยรักษาหลุมสิวได้ยังไง? ในวันนี้ หมอตวงจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกันก่อนว่า หลุมสิวมีวิธีรักษาให้หายได้จริง ๆ ไหม? หลุมสิวมีแบบไหนบ้าง หลุมสิวมีแบบไหนบ้าง แล้วถ้าจะทำ Pico laser หลุมสิวมันดีจริงหรือเปล่า? มีวิธีไหนอีกบ้าง? มาลองอ่านกันค่ะ
หลุมสิว เกิดจากกลไกการรักษาตัวเองตามธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากการอักเสบของสิวต่าง ๆ โดยรอยแผลเป็น จะมีด้วยกันทั้งหมด 2 ประเภท ขึ้นอยู่กับการได้รับคอลลาเจนในขณะเกิดแผล
หากผิวมีการสูญเสียคอลลาเจนไป จะทำให้สิวกลายเป็นแผลเป็นประเภทหลุมสิว (ซึ่งมักเกิดในสิวที่อักเสบบริเวณใบหน้า) หรือถ้าหากมีการเพิ่มขึ้นของคอลลาเจนในผิวมากเกินไป ก็จะทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดแผลเป็นนูน (Hypertrophic scar) และหากแผลนั้นมีความผิดปกติร่วมด้วยก็จะทำให้กลายเป็นแผลคีลอยด์ (Keloidal scars: Keloid) แต่ส่วนใหญ่ รอยแผลเป็นประเภทหลุมสิวจะเกิดขึ้นได้บ่อยที่สุดค่ะ
ลักษณะของหลุมสิว
หลุมสิว สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ซึ่งจำแนกจากลักษณะของแผลที่เกิดขึ้นบนผิวหน้าค่ะ
-
Ice Pick Scar (แผลลึก ปากแผลแคบ)
เป็นหลุมสิวที่มีความรุนแรงมากและรักษาได้ยาก เพราะมีลักษณะเป็นแผลลึกเข้าไปในชั้นผิว เกิดจากการอักเสบของสิวที่ลุกลามลงไปในผิวหนัง ยิ่งลึกมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งหายได้ยากมากเท่านั้นค่ะ สิวประเภทนี้จะพบได้บ่อยในบริเวณผิวที่มีความบาง เช่น บริเวณหน้าผากหรือบริเวณแก้มช่วงบนค่ะ
-
Box Scar (ปากแผลกว้าง)
เป็นหลุมสิวที่มีความรุนแรงปานกลาง พบได้ทั้งแบบตื้นและลึก มีขอบเส้นของหลุมสิวชัดเจน ผิวจะดูเป็นคลื่น ไม่สม่ำเสมอ มักพบได้บ่อยในบริเวณที่ผิวมีความหนา เช่น บริเวณแก้มส่วนล่างและผิวช่วงกราม
-
Rolling Scar (แผลตื้น ปากแผลกว้าง)
เป็นหลุมสิวที่มีความรุนแรงไม่มาก สามารถรักษาได้ง่ายกว่าหลุมสิวสองประเภทข้างต้น มักเกิดในบริเวณเดียวกันกับหลุมสิวแบบ Box scar ค่ะ
หลุมสิวรักษายังไง? มาดูวิธีการรักษาหลุมสิวกัน
จากประเภทของหลุมสิวที่หมอได้อธิบายไปข้างต้น ความแตกต่างนี้ทำให้การรักษาหลุมสิวแต่ละแบบมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไปค่ะ แต่ในปัจจุบันนี้ การรักษาหลุมสิวให้หายจนกลับมาเรียบเนียนเหมือนผิวใหม่ ยังไม่สามารถการันตีได้เลยค่ะ เพราะความรุนแรงของหลุมสิวนั้นต้องใช้ทั้งเวลาและความอดทน หมอตวงจึงรวมวิธีการรักษาหลุมสิวทั้ง 7 แบบ มาให้ลองศึกษาคร่าว ๆ กันค่ะ
1.การรักษาโดยการใช้ยา
อาจจะเป็นการทานยาหรือทายาก็ได้ค่ะ โดยหมอจะจ่ายยาที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ และช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจนของเซลล์ผิวใหม่นั้น ยกตัวอย่างเช่น กรด AHA (Alpha Hydroxy Acid) ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป, กรด BHA (Beta Hydroxy Acid) ช่วยผลัดเซลล์ผิวได้เช่นกันแต่มีความรวดเร็วกว่า AHA, กรดวิตามินเอ (สำหรับทาน) หรือเรตินอยด์ (สำหรับทาภายนอก) ที่จะช่วยยับยั้งการเกิดสิวบนใบหน้า แต่ทั้งหมดที่หมอกล่าวมานี้ การใช้ยาทุกชนิดจะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์นะคะ เพราะยาที่ได้กล่าวไป หากใช้ในปริมาณที่ไม่ถูกต้อง อาจทำอันตรายต่อผิว หรือทำให้ผิวอักเสบและระคายเคืองแทนที่จะได้รักษาหลุมสิวจนหายนะคะ
2.การรักษาโดยการลอกผิว (Chemical Peels)
เป็นการใช้กรดที่มีความเข้มข้นสูงในการผลัดเซลล์ผิวออกทั่วใบหน้า มีการเลือกใช้สารเคมีหรือกรดที่แตกต่างออกไปตามสภาพผิวของแต่ละคน โดยการลอกผิวแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่
- การลอกผิวระดับตื้น (Superficial depth chemical peels)
จะเป็นการลอกผิวหนังกำพร้าชั้นนอก ผิวที่สร้างขึ้นมาแทนที่จะมีความเรียบเนียน ช่วยรักษาริ้วรอยเล็ก ๆ สิว สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ และความแห้งกร้านของผิวหน้า - การลอกผิวระดับปานกลาง (Medium depth chemical peel)
เป็นการลอกผิวหนังกำพร้าไปจนถึงส่วนบนของผิวหนังชั้นกลางหรือหนังแท้ ช่วยรักษาริ้วรอย รอยสิว หลุมสิวที่ไม่ลึกมาก และความไม่สม่ำเสมอของสีผิว - การลอกผิวระดับลึก (Deep depth chemical peel)
เป็นการลอกผิวหนังด้วยสารเคมีอย่างล้ำลึกถึงชั้นหนังแท้ สามารถรักษาริ้วรอยฝังลึก แผลเป็นที่มีความลึกมาก และเป็นขั้นตอนการรักษารอยโรคผิวหนังที่อาจกลายมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย
ทั้งนี้ การลอกผิวเพื่อรักษาหลุมสิวนั้น หมอตวงแนะนำว่าจะต้องปรึกษาแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษนะคะ เพราะการลอกผิวนั้นต้องใช้กรดเข้มข้นในการรักษา หากแพทย์ที่ทำหัตถการให้ไม่มีความเชี่ยวชาญและแม่นยำมากพอ อาจทำให้เกิดอันตราย เสี่ยงต่อการเกิดรอยแดง แผลเป็น สีผิวไม่สม่ำเสมอ ไปจนถึงเป็นอันตรายต่อการทำงานของหัวใจ ตับ และไตได้ด้วยค่ะ
3.การรักษาโดยการฉีดไขมัน (Fat Grafting)
เป็นการรักษาหลุมสิวโดยการใช้ไขมันจากร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งมาเติมเต็มให้หลุมสิวตื้นขึ้นนั่นเองค่ะ ซึ่งการฉีดไขมันเข้าไปในชั้นผิวนั้นจะช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นบนใบหน้าและร่างกาย รวมถึงรอยบุ๋มและร่องลึกของผิว ให้มีความนุ่มและหนาขึ้น ดูเต็มอิ่มขึ้นได้ด้วยค่ะ แต่การฉีดไขมันเพื่อเติมหลุมสิวนั้นจะต้องดูแลหลังการฉีดเป็นพิเศษ และต้องทำความเข้าใจอย่างละเอียดด้วย เพราะไขมันที่ฉีดเข้าไปนั้น ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นไขมันที่ตายแล้ว ทำให้การรักษาหลุมสิวอาจจะไม่เห็นผลชัดมากหรืออยู่ได้ไม่นานนัก ขึ้นอยู่กับการสกัด การดูแลตัวเอง และระยะเวลาที่ร่างกายอายุเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ
4.การรักษาโดยเครื่องกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Dermabrasion)
นับเป็นการลอกผิวอีกแบบหนึ่ง แต่จะมีระยะเวลาในการฟื้นฟูผิวรวดเร็วกว่าการลอกผิวด้วยสารเคมีที่หมอได้กล่าวไปค่ะ ผิวที่สร้างขึ้นมาใหม่จะมีความเนียนนุ่มมากขึ้น การกรอผิวสามารถรักษารอยแผลเป็นจากสิวหรือรักษาหลุมสิวได้ในระดับไม่ลึกมาก ทั้งยังช่วยลดจุดด่างดำบนผิวหน้าได้ โดยแพทย์จะใช้เกล็ดอัญมณีที่มีขนาดเล็กมาก ๆ มากรอผิวหนังบริเวณที่เป็นแผลเป็นออกไป คล้ายกับการขัดผิว การดูแลผิวหลังทำจึงเป็นส่วนที่สำคัญมาก ๆ ค่ะ ต้องระมัดระวังและหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะผิวหลังทำจะบางลง อาจเกิดรอยดำรอยแดง รอยด่าง หรือแผลเป็นนูนซึ่งรักษายากเช่นกันค่ะ
5.การรักษาโดยการฉีดฟิลเลอร์ (Derma Filler)
ฟิลเลอร์ที่ใช้ในการรักษาหลุมสิวที่เป็นที่นิยมกันคือ กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid หรือ HA) ซึ่งจะฉีดเข้าไปในชั้นผิวเพื่อให้ผิวบริเวณที่เป็นหลุมสิวตื้นขึ้น เหมือนการเติมเพื่อลดความต่างระดับของชั้นผิวค่ะ วิธีการรักษาหลุมสิวโดยการฉีดฟิลเลอร์เข้าไป จะเห็นผลได้ชัดเจนทันทีหลังทำเสร็จ ไม่ต้องการการพักฟื้น และตัวกรดไฮยาลูโรนิกจะช่วยเติมเต็มให้หน้าดูฟูและอิ่มเอมมากขึ้นด้วยค่ะ แต่ตัวฟิลเลอร์จะมีข้อเสียคือ ระยะเวลาคงอยู่ไม่นาน (ปกติจะอยู่ที่ราว ๆ 6 เดือนถึง 1 ปี) ฟิลเลอร์ที่ฉีดจะหายไปอย่างเร็วที่สุดคือภายใน 3 เดือนค่ะ
นอกจากการใช้ฟิลเลอร์เพื่อรักษาหลุมสิว โดยทั่วไปก็ยังมีการใช้ฟิลเลอร์เพื่อเสริมความงามในด้านต่าง ๆ เช่น การเติมร่องแก้ม การเติมริมฝีปาก หน้าผาก เป็นต้น
6.การรักษาโดยการเลาะพังผืด (Subcision)
เป็นการผ่าตัดเล็ก ๆ ที่เน้นการรักษารอยเหี่ยวย่นของผิวหนังและแผลเป็นบนผิว ซึ่งเรียกได้อีกอย่างว่า การกรีดใต้ผิวหนัง (Subcutaneous incisional surgery) โดยจะใช้เข็มแบบพิเศษสอดเข้าไปใต้ผิวหนังแล้วกรีดเส้นใยพังผืดที่ยึดหลุมสิวและผิวหนังชั้นนอกเอาไว้จนเกิดช่องว่างระหว่างชั้นผิว ทำให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นและเกิดการสร้างคอลลาเจนใต้หลุมสิวนั้น ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้นและผิวหน้าดูเรียบเนียนมากขึ้น โดยการรักษาหลุมสิวประเภทนี้มักทำร่วมกับการรักษาด้วยเลเซอร์ เพื่อให้เห็นผลมากขึ้นค่ะ
7.การรักษาโดยการใช้เข็มขนาดเล็ก (Microneedling)
เป็นการรักษาโดยใช้เข็มที่มีขนาดเล็กจำนวนมากทิ่มลงไปใต้ชั้นผิว เป็นการสะกิดให้เกิดแผลขนาดเล็กมาก ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและโปรตีนที่เรียกว่า อีลาสติน (Elastin) เป็นโปรตีนแบบหนึ่งที่ช่วยให้เนื้อเยื่อมีความยืดหยุ่น ผิวหน้าจะดูสุขภาพดี แข็งแรง และเต่งตึงมากขึ้น การรักษาด้วยการใช้เข็มนั้นมีหลากหลายเครื่องมือ ยกตัวอย่างเช่น Morpheus8 ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือ Microneedling ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างผิวใหม่ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้หลุมสิวตื้นขึ้นแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย เพราะการสร้างผิวใหม่จะทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียนและริ้วรอยจางลงด้วยค่ะ
8. การรักษาโดยการยิงเลเซอร์ (Laser Therapy)
เป็นวิธีการรักษาหลุมสิวที่เป็นที่นิยมมากที่สุดค่ะ หลักการทำงานโดยทั่วไป จะเป็นการยิงคลื่นแสงเข้าไปในชั้นผิวเพื่อกระตุ้นให้เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเติมหลุมสิวให้ตื้นขึ้น ซึ่งเลเซอร์บางชนิดก็จะทำให้ผิวหนังชั้นนอกสุดลอกออกเพื่อเป็นการผลัดเซลล์ผิวไปในตัวด้วยค่ะ ยกตัวอย่างเช่น Pico laser ที่นิยมใช้ในการรักษาจุดด่างดำ รอยแผลเป็น ไปจนถึงปานและรอยสักได้ด้วย ทั้งยังสามารถทำ Pico laser หลุมสิวได้อีกด้วย ซึ่งการใช้เลเซอร์รักษาหลุมสิวในอดีต มักเกิดรอยไหม้จากเครื่องมือที่ควบคุมคลื่นแสงได้ยากและระยะคลื่นที่ไม่เหมาะกับการนำมาใช้บนผิวหน้า แต่ปัจจุบัน Pico laser หลุมสิวก็ถูกพัฒนาให้มีระยะความลึกของคลื่นที่พอดีมากขึ้น จึงไม่ต้องกังวลเรื่องผิวไหม้เป็นรอยดำจากการเลเซอร์หลุมสิวมากค่ะ
Pico laser VS Morpheus8 รักษาหลุมสิวแบบไหน เหมาะกับใครบ้าง?
ที่ Amara คลินิก จะมี 2 วิธีที่หมอนิยมใช้ในการรักษาเคสที่เป็นหลุมสิวค่ะ โดยหมอจะประเมินการรักษาตามความรุนแรงของอาการ ซึ่งแต่ละวิธีการและผลข้างเคียงก็มีความแตกต่างเช่นกันค่ะ ในส่วนนี้ หมอตวงจะมาลองเทียบความต่างระหว่าง Pico laser และ Morpheus8 ไว้พิจารณากันนะคะ
เปรียบเทียบความต่าง Pico laser VS Morpheus8
เกณฑ์ |
Pico laser |
Morpheus8 |
หลักการทำงาน |
ใช้คลื่นแสงเลเซอร์ยิงเข้าไปในผิวชั้นหนังแท้เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวดูเรียบเนียน ริ้วรอย รอยแตก และรอยแผลเป็นจางลง |
ใช้เข็มขนาดเล็กจำนวนมากที่จะปล่อยพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (RF) เข้าไปใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวเกิดแผลจนมีการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน กระตุ้นการเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว |
การเข้าไปในชั้นผิว |
ความยาวคลื่นของ Pico laser จะมีหลายระดับ แต่ปัจจุบันจะสามารถเข้าไปได้สูงสุดเพียง 1.5 มิลลิเมตรเท่านั้น (ชั้นหนังกำพร้า) |
สามารถปรับระดับความลึกได้สูงสุด 5 มิลลิเมตร (ชั้นหนังกำพร้าไปจนถึงชั้นไขมันใต้ผิว) |
ผลข้างเคียง |
ในระดับความลึกที่ไม่มาก อาจต้องทำการรักษาซ้ำหลายครั้ง ซึ่งตัว Pico laser สามารถเข้าไปกระตุ้นให้เม็ดสีกระจายตัว หากทำบ่อยอาจมีโอกาสที่เม็ดสีจะสลายมากเกินไปจนเกิดจุดด่างขาวที่รักษาไม่หายได้ |
มีอาการบวมแดงหลังทำเสร็จ หากทำบนใบหน้าจะมีสะเก็ดแผลหลังทำราว 3-10 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว |
การดูแลตัวเองหลังการรักษา |
– หลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อนทุกชนิด – งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจระคายเคืองผิว 3-7 วัน – งดกิจกรรมที่อาจทำให้แผลระคายเคืองมากขึ้น – ต้องทาครีมกันแดดระดับ SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปเสมอ – ในกรณีที่ทำ Pico laser หลุมสิวแบบไม่ตกสะเก็ด สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติในวันถัดไป – ในกรณีที่ทำ Pico laser หลุมสิวแบบตกสะเก็ด ห้ามแกะหรือเกา สะเก็ดจะหลุดไปเองใน 1 สัปดาห์ |
– หลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อน (โดยเฉพาะกิจกรรมที่ผิวจะได้รับความร้อนสูง เช่น ซาวน่า – ห้ามไม่ให้ผิวโดนน้ำหลังทำ 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นสามารถล้างหน้าและแต่งหน้าบาง ๆ ได้ – ทาปิโตรเลียมเจลหรือขี้ผึ้งเพื่อเคลือบผิวบาง ๆ 1-3 วัน – ต้องทาครีมกันแดดระดับ SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปเสมอ – หลังตกสะเก็ดบาง ๆ ให้ทำการทาครีมบำรุงผิวที่เน้นให้ความชุ่มชื้นสูง |
เหมาะกับการรักษาหลุมสิวแบบไหน |
เหมาะกับหลุมสิวแบบตื้น (Rolling scars หรือ Box Scars) |
เหมาะกับหลุมสิวแบบลึกจนถึงลึกมาก ๆ (Box Scars หรือ Ice-pick Scars) |
สรุปข้อดีและข้อเสียของการทำ Pico laser หลุมสิว
ข้อดี |
– ราคาโดยรวมถูกกว่า – มีสะเก็ดแผลเล็กน้อยจนถึงไม่มีเลย (ขึ้นอยู่กับความยาวคลื่นที่ใช้) – อ่อนโยนต่อผิวมากกว่าเพราะใช้เทคโนโลยีในการกระจายตัวของคลื่น |
ข้อเสีย |
– จากความลึกที่ไม่มาก อาจทำให้ต้องทำซ้ำหลายครั้ง ซึ่งจะเสี่ยงต่อการเกิดจุดด่างขาวได้ – หากใช้คลื่นที่พลังงานสูงเกินไปหรือแพทย์ไม่มีความเชี่ยวชาญ อาจทำให้ผิวอักเสบและมีเลือดออกได้ |
สรุปข้อดีและข้อเสียของการทำ Morpheus8 หลุมสิว
ข้อดี |
– ระดับความลึกหลากหลาย ทำให้แก้ปัญหาผิวได้ครอบคลุมและตรงจุด – ผลลัพธ์คงอยู่ระยะยาว ไม่ต้องทำซ้ำบ่อย – หัวเข็มที่ใช้แล้วทิ้ง รับรองความสะอาดได้ |
ข้อเสีย |
– ราคาโดยรวมสูงกว่า เพราะหัวเข็มต้องใช้แล้วทิ้ง – มีสะเก็ดแผลขนาดเล็ก – เพราะเป็นการใช้เข็มทิ่มลงไปบนผิวเพื่อส่งคลื่นวิทยุซึ่งมีความร้อน ทำให้ไม่เหมาะกับการทำหัตถการอื่น ๆ ร่วมด้วย |
คุณหมอตวง แพทย์ผู้ชำนาญการด้านการรักษาผิวหนัง
การป้องกันหลุมสิว ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
อย่างที่ได้อธิบายไปแล้วว่า ต้นกำเนิดของหลุมสิวนั้นไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็เกิดขึ้นมาเองเฉย ๆ ค่ะ หลุมสิวเกิดขึ้นหลังจากที่สิวอักเสบต่าง ๆ ได้หายไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งรอยแผลไว้ตามกลไกการรักษาตัวเองของร่างกายนั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้น การป้องกันหลุมสิวที่แน่นอนที่สุด จึงเป็นการดูแลผิวให้แข็งแรงอยู่เสมอเพื่อให้สิวเกิดได้ยากขึ้น แต่หากเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องดูแลรักษาผิวที่เป็นสิวด้วยเช่นกัน ในส่วนนี้ หมอตวงจะแนะนำวิธีการดูแลผิวเมื่อเกิดสิว เพื่อป้องกันการเกิดหลุมสิวไม่ให้มากวนใจเราค่ะ!
- งดการแกะ เกา หรือสัมผัสผิวบริเวณที่เป็นสิว ไม่ว่าจะเป็นระหว่างที่ยังอักเสบหรือตกสะเก็ดแห้งแล้วก็ตาม เพราะจะทำให้สิวทวีความรุนแรงมากขึ้นได้ค่ะ ยิ่งสิวขยายใหญ่ แผลก็จะกว้างขึ้น ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดหลุมสิวในระดับที่รักษาได้ยากมากขึ้นค่ะ
- ทายารักษาสิวที่ต้านเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนนะคะ
- หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่จะไปเพิ่มความมันบนใบหน้า ป้องกันการอุดตันเพิ่มบนผิว
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เน้นให้ความชุ่มชื้น
- หมั่นสังเกตผิวของตัวเองว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นสิวแล้วเกิดหลุมสิวง่ายหรือเปล่า หากมีโอกาสสูงก็สามารถไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับรักษาอย่างตรงจุดค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง
สรุป
การรักษาหลุมสิวนั้นจะมีความแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของแผลค่ะ เพราะฉะนั้น การเลือกเครื่องมือที่เหมาะกับหลุมสิวจึงเป็นสิ่งควรคำนึงถึงเป็นอย่างแรก ถ้าหากเลือกเครื่องมือสำหรับการรักษาหลุมสิวแบบตื้น ๆ มาใช้รักษาหลุมสิวแบบลึก ก็จะไม่เห็นผลและทำให้เสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายโดยเปล่าประโยชน์ แถมอาจจะมีอันตรายต่อผิวได้ด้วย หากใครยังไม่สามารถตัดสินใจได้ มีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิว หรืออยากปรึกษาก่อนการรักษา สามารถเข้ามาพูดคุยกับหมอได้ที่ Amara Clinic สามารถจองคิวปรึกษาได้ที่ LINE : @amaraclinic ได้เลยนะคะ