กู้รอยแตกลายสีขาว รอยเก่าหายยาก ให้กลายเป็นผิวสวย!

รอยแตกลายสีขาว

สวัสดีค่ะทุกคน กลับมาพบกับหมอมะปราง Amara Clinic กันอีกเช่นเคยใน Blog สาระน่ารู้เกี่ยวกับผิวพรรณค่ะ วันนี้หมอจะมาแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาผิวยอดฮิต ที่คนไข้ส่วนใหญ่เข้ามาปรึกษาหมอมากเป็นอันดับต้น ๆ นั่นก็คือ รอยแตกลาย ค่ะ หลายคนคิดว่ารอยแตกลายก็เหมือน ๆ กัน และเป็นปัญหาที่มักจะมองข้าม พอมารู้ตัวกันอีกที รอยแตกลายก็พัฒนากลายมาเป็นรอยแตกที่รักษาได้ยาก หรือรอยแตกลายสีขาวนั่นเองค่ะ ในบทความนี้ หมอเลยอยากจะพาทุกคนไปทำความรู้จักเกี่ยวกับที่มาของรอยแตกลาย, รอยแตกลายมีกี่ประเภท และรอยแตกลายสีขาวจะสามารถรักษาให้หายได้อย่างไร เรามาติดตามกันได้เลยค่ะ

ก่อนจะดูที่มาของรอยแตกลาย หรือรอยแตกลายสีขาว เรามาทำความรู้จักกับโครงสร้างผิวหนังกันก่อนค่ะ สำหรับโครงสร้างผิวเรานั้นจะถูกแบ่งออกหลัก ๆ เป็น 3 ชั้นด้วยกัน คือ ผิวชั้นนอก, ผิวชั้นกลาง และชั้นใต้ผิวหนังค่ะ ซึ่งแต่ละชั้นก็มีหน้าที่และความสำคัญที่แตกต่างกันออกไป เดี๋ยวเรามาดูรายละเอียดของโครงสร้างผิวในแต่ละชั้นกันค่ะ

รอยแตกลายสีขาว

ผิวชั้นนอก

ผิวหนังชั้นนอก หรือ Epiderma เป็นผิวหนังกำพร้าที่อยู่บนสุด เปรียบเสมือนเป็นปราการด่านแรกที่มีหน้าที่ช่วยปกป้องเราจากสิ่งแปลกปลอมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรค, สารพิษ, แบคทีเรีย, มลภาวะ, อุณหภูมิ สำหรับผิวหนังชั้นนอกนี้มีอีกชั้นผิวย่อยอีก 5 ชั้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิว และผิวหนังชั้นนอกนี้ยังมีสารสำคัญ คือ lipids barriers ทำหน้าที่เก็บกักความชุ่มชื่นในผิวหนัง และยังมีส่วนประกอบสำคัญใน  lipids barriers นั่นคือ Ceramide (เซราไมด์) มีหน้าที่เป็นเกราะให้ผิวมีสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งเจ้าตัวเซราไมด์นี้เอง ยังเป็นส่วนผสมในครีมบำรุงผิวหลากหลายยี่ห้อกันอีกด้วยค่ะ

ผิวชั้นกลาง

ผิวหนังชั้นกลาง หรือ Dermis เป็นผิวหนังชั้นแท้ และอยู่ถัดลงมาจากผิวชั้นนอก โดยในผิวหนังชั้นนี้จะมีความหนาและยังประกอบไปด้วยคอลลาเจนและอิลาสติ ซึ่งเกี่ยวพันกันอยู่ ทำให้ผิวหนังมีความแข็งแรง ยืดหยุ่น ตึงกระชับ นอกจากนี้ ในผิวชั้นกลางยังมีสารไฮยาลูรอนิค ซึ่งมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดี ทำให้ผิวมีความชุ่มชื่น

ผิวชั้นใต้ผิวหนัง

ผิวหนังชั้นใต้ผิวหนัง หรือ Subcutaneous Fat เป็นชั้นที่อยู่ในสุดของผิว ซึ่งจะประกอบไปด้วยเซลล์ไขมัน รวมถึงโปรตีนคอลลาเจน โดยมีหน้าที่ในการรองรับแรงกระแทกจากภายนอก ป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บกับอวัยวะภายใน ซึ่งในแต่ละคนก็มีจำนวนเซลล์ไขมันที่แตกต่างกันออกไป ส่งผลให้เรามีผิวพรรณที่ต่างกันอีกด้วยค่ะ

ที่มาของ ‘รอยแตกลาย’

รอยแตกลาย ถือว่าเป็นแผลเป็นชนิดหนึ่งค่ะ ซึ่งเกิดขึ้นการขยายตัวของผิวหนังอย่างรวดเร็ว จนเป็นสาเหตุให้ผิวหนังเกิดการฉีดขาด ส่งผลต่อโครงสร้างผิวข้างใน ทำให้เส้นใยคอลลาเจนและอิลาสตินถูกทำลาย คอลลาเจนเรียงตัวผิดปกติออกไป โดยเมื่อเสาหลักอย่างคอลลาเจนและอิลาสตินที่ทำหน้าที่พยุงผิวไว้พังลง ก็ทำให้ผิวทรุดตัวลง ผิวหนังขาดความยืดหยุ่นค่ะ

รอยแตกลายสีขาว

เมื่อผิวหนังฉีกขาด จะทำให้เส้นเลือดที่อยู่ลึกลงไปเห็นได้ชัดยิ่งขึ้น นี่เองจึงทำให้เราสามารถเห็นรอยแตกลายที่มีลักษณะเป็นริ้ว ๆ ที่มีสีเข้ม มีสีที่แตกต่างออกไปจากผิวบริเวณข้างเคียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่มีน้ำหนักมาก หรือในคุณแม่ตั้งครรภ์ มีโอกาสเสี่ยงที่ผิวหนังจะเกิดรอยแตกลายได้ เนื่องจากผิวหนังถูกขยายตัวอย่างมาก รวมไปถึงคนที่มีน้ำหนักมาและลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วในภายหลัง ก็ส่งผลให้เกิดปัญหารอยแตกลายได้เช่นเดียวกันค่ะ สำหรับบริเวณต่าง ๆ ในร่างกายที่เรามักจะพบปัญหารอยแตกลาย ส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่มาก เช่น ต้นแขน ท้องแขน, หน้าอก, หน้าท้อง และบริเวณสะโพกค่ะ

รอยแตกลายสีขาว รอยแตกลายสีแดง

รอยแตกลายจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ รอยแตกลายระยะเริ่มต้น หรือรอยแตกลายที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ จะมีลักษณะเป็นรอยแตกสีแดง และรอยแตกระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นลักษณะของรอยแตกลายสีขาว โดยหากเราหมั่นสังเกตผิวของเราอยู่เสมอ ก็จะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดรอยแตกลายได้ รวมไปถึงหากเรารู้ทัน ป้องกันได้ไว จากที่เป็นรอยแตกรอยใหม่ ก็จะไม่พัฒนากลายเป็นรอยแตกลายสีขาว ที่หากเป็นแล้วจะรักษารอยแตกลายสีขาวได้ยากกว่านั่นเองค่ะ

รอยแตกลายสีแดง

รอยแตกลายชนิดนี้จะเป็นรอยแตกลายระยะเริ่มต้น (Striae Rubra) หรือรอยแตกลายใหม่ จะมีลักษณะเส้นริ้วนูนสีชมพูหรือสีแดงค่ะ เป็นระยะที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวของผิวหนังที่มากเกินไปแบบเฉียบพลัน โดยจะเกิดเป็นรอยแตกที่พบได้ในลักษณะตั้งฉากหรือขนานกัน ในระยะเริ่มต้นของรอยแตกลาย หรือรอยแตกลายสีแดงนี้ คนไข้อาจมีอาการคันหรือรู้สึกแสบที่ผิวหนังได้ โดยรอยแตกลายสีแดงนี้เป็นระยะที่สามารถป้องกันรักษารอยแตกลายได้ง่ายที่สุดอีกด้วยค่ะ หมอแนะนำว่า เราควรหมั่นสังเกตผิวพรรณเป็นประจำ หากเห็นรอยแตกสีแดงนี้ก็ให้เริ่มบำรุงผิวเป็นพิเศษได้เลย โดยไม่ต้องรอให้รอยแตกลายพัฒนากลายเป็นรอยแตกลายสีขาวค่ะ

รอยแตกลายสีแดง

รอยแตกลายสีขาว

รอยแตกลายสีขาว

รอยแตกระยะต่อมาคือ รอยแตกลายสีขาวค่ะ ซึ่งเป็นระยะท้ายสุด (Striae Alba) โดยรอยแตกสีขาวนี้จะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนไปจนถึงเป็นปีต่อจากระยะเริ่มต้น ซึ่งจะมีลักษณะรอยแตกที่มีสีเข้มขึ้น สีแดง และสีม่วงจนจางลงกลายเป็นสีขาวในที่สุด สำหรับรอยแตกลายสีขาวนี้จะมีลักษณะผิวหนังที่บุ๋มลงไป เมื่อสัมผัสแล้วจะรู้สึกเหมือนแผลเป็น ซึ่งนอกจากสีที่เปลี่ยนไปแล้วยังมีภาวะผิวหนังบางลงและอาจมีรอยย่นร่วมด้วยค่ะ นอกจากนี้ รอยแตกลายสีขาวยังเป็นระยะที่รักษาให้ผิวหลังกลับมาเรียบเนียนค่อนข้างยากกว่า รวมไปถึงการใช้ผลิตภัณฑ์หรือครีมที่ช่วยลดรอยแตกลายในระยะนี้จะไม่เห็นผลค่ะ

 รอยแตกสีขาว

รอยแตกลายสีขาว

คนที่เสี่ยงเกิดรอยแตกลายสีแดง รอยแตกลายสีขาว

  • มีประวัติคนในครอบครัวที่เป็นสายเลือดเดียวกัน มีอาการรอยแตกลาย
  • คนที่มีภาวะรอยแตกลายสีแดง หรือรอยแตกลายระยะเริ่มต้น ซึ่งไม่ได้ทำการรักษารอยแตกลาย จนพัฒนากลายเป็นรอยแตกเก่า หรือรอยแตกลายสีขาวในที่สุด
  • คนที่ใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานานหรือใช้อย่างผิดวิธี
  • คนที่มีโรคประจำตัวบางอย่างที่ทำให้เกิดภาวะโรคอ้วน เช่น โรคกินไม่หยุด, กลุ่มอาการคุชชิง หรือโรคมาร์แฟนซินโดรม ซึ่งเป็นโรคที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเนื้อเยื่อ และอวัยวะภายใน
  • คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ มีโอกาสเสี่ยงรอยแตกหลังคลอด
  • คนที่มีภาวะโรคอ้วน น้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน หรือมีค่า BMI 23 ขึ้นไป (เช็คค่า BMI ด้วยตัวเองได้ที่ >> BMI คือ)
  • ในวัยรุ่นที่มีการเจริญเติบโตของร่างกายอย่างรวดเร็ว
  • คนที่เคยมีน้ำหนักตัวมาก และลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
  • คนที่ออกกำลังกายแบบ Weight Training หรือคนที่เล่นกล้าม หรือนักเพาะกาย ที่มีกล้ามเนื้อโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

รอยแตกลายสีขาว ป้องกันได้

ถึงแม้ว่ารอยแตกลาย จะเป็นปัญหาที่ไม่ได้ส่งผลกับสุขภาพ แต่ก็ทำให้หลายคนขาดความมั่นใจไม่น้อยเลย เพราะเวลาที่เราใส่เสื้อผ้าที่ต้องโชว์สัดส่วน ก็จะสามารถมองเห็นรอยแตกลายเหล่านี้ได้ชัด ดังนั้น เราจึงสามารถป้องกันการเกิดรอยแตกลายได้ รวมไปถึงหากเป็นรอยแตกลายในระยะเริ่มต้น หรือรอยแตกลายสีแดง หากเรารู้ตัวและดูแลตัวเองได้ทัน ก็จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่รอยแตกลายจะลุกลามกลายเป็นรอยแตกลายสีขาวได้ค่ะ ซึ่งหมอก็มีคำแนะนำในดูแลตัวเองเพื่อป้องกันรอยแตกลาย รวมไปถึงรอยแตกลายสีขาว ดังนี้ค่ะ

  • ควบคุมน้ำหนัก ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน โดยการควบคุมอาหาร ลดน้ำหนักแบบนับแคลอรี่
  • ทาครีมหรือโลชั่นบำรุงผิว ที่มีส่วนผสมของวิตามินอี, โจโจ้บาออยล์, เชียบัตเตอร์, น้ำมันมะกอก โดยเลือกเนื้อครีมที่มีความเข้มข้นสูง ทาผิวเป็นประจำทั้งเช้าและเย็น สามารถทาซ้ำได้หากผิวแห้ง
  • หลีกเลี่ยงการใช้สารสเตียรอยด์ เป็นระยะเวลานาน และควรอยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์
  • คุณแม่ตั้งครรภ์ดูแลตัวเองเนิ่น ๆ โดยเริ่มทาครีมบำรุงที่มีความชุ่มชื่น ครีมบำรุงสูตรอ่อนโยน ไม่มีสารอันตราย และควรทาครีมบำรุงผิวตั้งแต่เริ่มรู้ตัวว่าตั้งครรภ์
  • ออกกำลังกาย เป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ช่วยผิวหนังให้พร้อมกับการยืดขยาย และยังช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการเกิดรอยแตกลายได้

คำถามยอดฮิต! การทาครีมสามารถรักษารอยแตกลายให้หายได้ไหม?

รอยแตกลาย เป็นรอยแผลเป็นชนิดหนึ่ง เกิดจากโครงสร้างภายในผิวถูกทำลาย ดังนั้น การใช้ครีมบำรุงหรือครีมลดรอยแตกลาย จะช่วยป้องกันและบรรเทารอยแตกลายระยะเริ่มต้นได้ รวมไปถึงช่วยบรรเทาอาการคันและแสบผิวได้ 

ในปัจจุบัน ยังมีไม่ครีมบำรุงชนิดไหนที่สามารถรักษารอยแตกลายให้หายสนิทได้ค่ะ โดยเฉพาะรอยแตกลายสีขาว ซึ่งเป็นรอยแตกลายเก่าที่สะสมมานาน เป็นรอยแตกที่รุนแรงกว่ารอยแตกลายสีแดงค่ะ

รักษารอยแตกลายสีขาวด้วยเทคโนโลยี Morpheus8

อย่างที่หมอได้บอกไว้ตอนต้นนะคะว่า รอยแตกลายสีขาว เป็นระยะรอยแตกที่รักษาได้ยาก ซึ่งการดูแลตัวเองด้วยวิธีต่าง ๆ อาจไม่สามารถกำจัดรอยแตกลายสีขาวให้หายสนิทได้ ดังนั้น จึงต้องรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ อย่างการใช้คลื่น RF ด้วยเครื่อง Morpheus8 ซึ่งจะมีหลักการทำงาน โดยเริ่มจากการปล่อยพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (RF) ผ่านเข็มทองคำขนาดเล็ก 24 เข็ม ที่วางเรียงกันอยู่ตรงหัวอุปกรณ์ จากนั้น พลังงานจะถูกนำส่งลงไปยังระดับชั้นผิวที่ต้องการทำการรักษาได้อย่างตรงจุด ซึ่งสามารถปล่อยพลังงานลงลึกในชั้นผิวได้หลายระดับตั้งแต่ 2-3 และ 4 (Multi-Layer Technology) ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาผิวได้ตั้งแต่ชั้นหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง และตัวเครื่องยังสามารถปรับระดับความลึกของชั้นผิวที่ต้องการ เพื่อจุดประสงค์ในการรักษาที่ต่างกัน โดยที่ไม่ก่อให้เกิดความร้อน ไม่ทำให้ผิวหนังชั้นบนไหม้ และไม่ทิ้งรอยดำหลังทำค่ะ

ผลลัพธ์หลังรักษารอยแตกลายสีขาว

รอยแตกลายสีขาว

ด้วยคลื่นพลังงาน RF ที่ถูกส่งลงไปในชั้นผิว จะไปกระตุ้นการซ่อมสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทั้งเส้นใยคอลลาเจน และเส้นใยอิลาสติน และช่วยกระตุ้นการเรียงตัวใหม่ของคอลลาเจนในชั้นผิวหนังแท้ (Dermal Remodeling) ช่วยให้ผิวที่เสื่อมสภาพตามอายุที่มากขึ้น (Aging Skin) แลดูอ่อนเยาว์ขึ้น และยังมีผลช่วยให้รอยแตกลาย ทั้งรอยแตกลายสีแดง และรอยแตกลายสีขาวลดลง สีผิวสม่ำเสมอ ทำให้ผิวกลับมาเรียบเนียนค่ะ

หลังทำการรักษารอยแตกลายด้วย Morpheus8 จะเห็นผลชัดเจนขึ้นใน 3 สัปดาห์ และเห็นผลได้อย่างเต็มที่ใน 3 เดือน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการรักษา และสภาพผิวของแต่ละบุคคลค่ะ ซึ่งหมอแนะนำให้ทำการรักษารอยแตกลาย ทั้งรอยแตกลายสีแดง รอยแตกลายสีขาวด้วย Morpheus8 ต่อเนื่อง 1-3 ครั้ง และควรเว้นระยะห่างทุก 1-6 เดือน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั่นเองค่ะ

สำหรับเทคโนโลยี Morpheus8 นอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหารอยแตกลายได้แล้ว ยังรักษาผิวพรรณได้อย่างครอบคลุมทุกปัญหา ทำได้ทั้งบริเวณใบหน้าและลำตัว เช่น ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย, ช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องลึก ปรับผิวเรียบเนียน พร้อมกับฟื้นฟูปัญหาผิวพรรณอื่น ๆ อย่างรอยแผลเป็น, รอยสิว, จุดด่างดำ, สีผิวไม่สม่ำเสมอ, ผิวขรุขระไม่เรียบเนียน หลุมสิว, รอยแตกลาย รวมไปถึงยังช่วยลดเซลล์ไลท์ได้อีกด้วยค่ะ 

สรุป

          สรุปปิดท้ายกันค่ะ สำหรับรอยแตกลายนั้น สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศทุกวัย ซึ่งรอยแตกลายใหม่ที่เป็นรอยแตกลายสีแดง หากเราเริ่มดูแลตัวเองกันตั้งแต่รู้ตัว ก็จะสามารถฟื้นฟูผิวให้ดีขึ้นได้ แต่หากปล่อยไว้นานจนเกิดเป็นรอยเก่าสะสม หรือรอยแตกลายสีขาว การดูแลตัวเองอาจยังไม่สามารถตอบโจทย์ได้ หมอจึงแนะนำให้เข้ารับการรักษารอยแตกลายสีขาว โดยวิธีทางการแพทย์ ภายใต้การดูแลจากแพทย์ผู้ชำนาญการ ก็จะช่วยกำจัดรอยแตกลายทั้งรอยใหม่ และรอยแตกลายสีขาวได้ เพื่อผิวพรรณที่เรียบเนียน ไร้ความกังวลค่ะ


แพทย์ผู้ชำนาญการด้านดูดไขมัน

พญ.กรพร สถิตวิทยานันท์ (หมอมะปราง)

ลงทะเบียนปรึกษาฟรี!


    ใส่ความเห็น