ผิวใสเรียบเนียน ล้วนเป็นผิวในฝันที่ใครหลายคนต่างอยากจะมี เพราะการมีผิวที่สดใสจะช่วยให้ดูมีออร่ายิ่งขึ้น อีกทั้งผิวแบบนี้ยังถือเป็นสิ่งที่ช่วยสะท้อนถึงความสมดุลของคอลลาเจนใต้ผิวได้อีกด้วยค่ะ แต่เมื่ออายุมากขึ้นความสามารถในการผลิตคอลลาเจนก็จะลดน้อยลงอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ดังนั้นในปัจจุบันเราจึงได้เห็นอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน และเครื่องดื่มคอลลาเจนต่าง ๆ ออกมาวางขายอย่างมากมาย หลายคนที่กินก็เห็นได้ถึงการเปลี่ยนที่ดีขึ้น แต่ก็มีคนอีกไม่น้อยเลยค่ะที่กินคอลลาเจนแล้วไม่เห็นผล ซึ่งก็มีเหตุผลมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพของคอลลาเจนและเวลาที่เลือกกิน หากใครที่กำลังสงสัยว่า “กินคอลลาเจนยังไงให้เห็นผล? กินคอลลาเจน ตอนไหนดี?” วันนี้หมอมะปรางพร้อมพาทุกคนไปศึกษาวิธีการกินคอลลาเจนให้เห็นผลดียิ่งขึ้น!! พร้อมแนวทางการสร้างคอลลาเจนให้กับร่างกายฉบับเร่งด่วน!! พร้อมแล้วเราไปดูกันเลยค่ะ – หมอมะปราง Amara Clinic
คอลลาเจน (Collagen) คือเส้นใยโปรตีนชนิดหนึ่งที่อยู่บริเวณผิวหนังชั้นล่าง (Demis) ซึ่งคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกาย โดยมีสัดส่วนอยู่ภายในร่างกายมากถึง 80% โดยหน้าที่สำคัญของคอลลาเจนคือการช่วยยึดเนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบริเวณผิวหนัง กระดูก กล้ามเนื้อ เล็บ เส้นเอ็น และข้อต่อ โดยปกติร่างกายของคนเราสามารถผลิตคอลลาเจนได้เอง แต่เมื่ออายุย่างเข้าวัย 30 การผลิตคอลลาเจนจะเริ่มลดน้อยลง จึงทำให้เกิดปัญหาผิวแห้งโทรมและปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ อีกทั้งยังสามารถส่งผลให้กระดูกเสื่อมโทรมได้ด้วยค่ะ ดังนั้นเราจึงมักเห็นว่าคนวัยกลางคนขึ้นไปจะมีอาการปวดเมื่อยได้ง่ายยิ่งขึ้น นั่นเป็นเพราะปริมาณคอลลาเจนในร่างกายน้อยลง ดังนั้นคอลลาเจนจึงเป็นส่วนสำคัญที่ควรให้ความสำคัญอย่างมากค่ะ
อ่านรายละเอียดโครงสร้างผิวของเราได้ที่…ทำความรู้จักโครงสร้างผิวหนัง
ประโยชน์ของคอลลาเจน
- ช่วยเสริมสร้างให้ผิวแข็งแรง ยืดหยุ่น
- รักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดปัญหาผิวแห้ง
- ช่วยให้ผิวกระชับ เรียบเนียน
- ลดริ้วรอยและร่องลึก
- ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของกระดูกและข้อต่อ
- เส้นผมเงางาม แข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย
- บำรุงเล็บให้แข็งแรง
ประเภทของคอลลาเจน
ก่อนที่เราจะไปดูถึงรายละเอียดการกินคอลลาเจน ตอนไหนดี หมออยากให้ทุกคนทำความเข้าใจถึงประเภทของคอลลาเจนก่อนค่ะ ซึ่งคอลลาเจนแบบกินที่มีการผลิตออกมาให้เลือกในปัจจุบันหลัก ๆ จะมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกันค่ะ ได้แก่ คอลลาเจนเปปไทด์, คอลลาเจนไตรเปปไทด์ และ คอลลาเจนไดเปปไทด์ โดยทั้งสามแบบจะมีความสามารถในการดูดซึมที่แตกต่างกันไป เนื่องจากมีขนาดโมเลกุลที่ไม่เท่ากัน
- คอลลาเจนเปปไทด์ (Collagen Peptide) มีขนาดโมเลกุลอยู่ที่ 2,000 ดาลตัน ทำให้ร่างกายดูดซึมคอลลาเจนชนิดนี้ได้น้อยและช้า
- คอลลาเจนไตรเปปไทด์ (Collagen Tripeptide) มีขนาดโมเลกุลอยู่ที่ 1,000-1,500 ดาลตัน ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ในระดับปานกลาง
- คอลลาเจนไดเปปไทด์ (Collagen Dipeptide) มีขนาดโมเลกุลอยู่ที่ 200 ดาลตัน ถือเป็นคอลลาเจนประเภทสายสั้นที่มีขนาดโมเลกุลเล็กที่สุด สามารถทำให้ร่างกายดูดซึมได้เร็วและเยอะกว่าคอลลาเจนแบบอื่น หากใครที่ต้องการทานคอลลาเจนให้เห็นผลไว จึงควรเลือกทานคอลลาเจนชนิดนี้จะดีที่สุด โดยสามารถดูประเภทของคอลลาเจนได้ที่ข้างกล่องก่อนซื้อค่ะ
กินคอลลาเจน ตอนไหนดี! กินยังไงให้เห็นผลไวขึ้น!?
สำหรับหลายคนที่เคยลองทานคอลลาเจนมาก่อนแล้วรู้สึกว่าไม่เห็นถึงความเปลี่ยน อาจหมายถึงคุณกำลังกินคอลลาเจนไม่ถูกต้องได้ค่ะ “แล้วกินคอลลาเจน ตอนไหนดีที่สุด?” หลายคนคงกำลังมีข้อสงสัยถึงเรื่องนี้กันอยู่ใช่ไหมคะ หมอมะปรางขอบอกเลยว่าการกินคอลลาเจนให้เห็นผล จริง ๆ ไม่ซับซ้อนเลยค่ะและทุกคนสามารถนำไปทำตามได้ง่าย ๆ เลย โดยวิธีกินคอลลาเจนอย่างถูกต้องมีดังนี้ค่ะ
กินคอลลาเจนตอนท้องว่าง
การกินคอลลาเจนที่ดีที่สุด คือช่วงเช้าตอนที่ท้องยังว่างอยู่ค่ะ เพราะเวลาที่ท้องว่างจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นผลลัพธ์หลังกินคอลลาเจนในช่วงที่ท้องว่างติดต่อกันเป็นประจำ จึงช่วยให้ร่างกายได้รับปริมาณคอลลาเจนที่มากพอ ในการไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งยิ่งขึ้น แก้ปัญหาร่องน้ำหมาก ตีนกา หรือผิวหมองคล้ำก็ลดลงอย่ามากเลยค่ะ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกทานในช่วงก่อนนอน หรือ ช่วง 3-4 ชั่วโมงหลังมื้ออาหารเย็น จะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมคอลลาเจนได้ดีเช่นกันค่ะ และยังไปเสริมให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นและหลับสนิทยิ่งขึ้นค่ะ แต่ทั้งนี้การกินคอลลาเจนไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเม็ด ผง หรือแบบดื่ม ก็ควรเลือกกินในปริมาณที่เหมาะสม โดยปริมาณต่อวันที่ร่างกายควรได้รับอยู่ที่ 2.5 – 5 กรัมต่อวัน เพราะหากเรากินคอลลาเจนมากเกินไปนอกจากจะไม่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพของเราแล้ว ยังส่งผลเสียให้กับร่างกายจนเกิดอาการแพ้ได้ค่ะ ดังนั้นควรเลือกทานอย่างพอดีนะคะ
กินน้ำตามเยอะ ๆ
ตอนนี้หลายคนก็รู้แล้วนะคะว่าการกินคอลลาเจน ตอนไหนดีต่อการดูดซึม แต่หมอยังอีกหนึ่งทริคดี ๆ ในการกินคอลลาเจนให้ได้ผลดียิ่งขึ้นคือ การกินน้ำตามเยอะ ๆ ค่ะ เพราะน้ำมีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดียิ่งขึ้นค่ะ ดังนั้นหมอแนะนำให้ดื่มน้ำให้ครบ 1.5 ลิตรต่อวัน เพื่อให้ร่างกายมีสมดุลน้ำที่เหมาะสม คอลลาเจนที่กินเข้าไปร่างกายก็จะสามารถดูดซึมประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ค่ะ
เสริมประสิทธิภาพด้วยการกินคู่กับวิตามินซี
ใครที่อยากมีผิวแข็งแรงสวยใส หมอแนะนำให้ทานวิตามินซีควบคู่ไปด้วยกับคอลลาเจนจะดีมากค่ะ เพราะวิตามินซีจะไปเสริมการทำงานของคอลลาเจนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เนื่องจากวิตามินซีเป็นสารอาหารที่มีส่วนสำคัญในการผลิตคอลลาเจนให้กับร่างกาย ดังนั้นใครที่อยากให้การทานคอลลาเจนเห็นผล จึงควรทานวิตามินซีให้ครบ 1,000 เป็นประจำทุกวัน
เช็กก่อนกิน!! ใครบ้างที่ไม่ควรกินคอลลาเจน!?
ทุกสิ่งล้วนเป็นดาบสองคมคอลลาเจนก็เช่นกันค่ะ แม้ว่าคอลลาเจนจะมีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน แต่ในคนบางกลุ่มน้องคอลลาเจนอาจส่งผลเสียรุนแรงได้ค่ะ ดังนั้นก่อนเลือกซื้อคอลลาเจนมากิน หมอขอแนะนำให้ทุกคนเช็กกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ควรกินคอลลาเจนกันก่อนค่ะว่ามีใครบ้าง?
- ผู้ที่มีประวัติแพ้อาหารทะเล ปลาทะเลน้ำลึก และปลาน้ำจืด เนื่องจากคอลลาเจนส่วนใหญ่มักมีส่วนผสมของปลาทะเล ดังนั้นผู้ที่แพ้อาหารทะเลสามารถเกิดอาการแพ้คอลลาเจนได้ค่ะ
- ผู้ที่ตั้งครรภ์และคุณแม่ให้นมบุตร เพราะคอลลาเจนถือเป็นอาหารเสริมที่ผ่านการสังเคราะห์ ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพของเด็กทารก
- ผู้ป่วยโรคไต ตับ และโรคร้ายแรงอื่น ๆ การทานอาหารเสริมสามารถส่งผลกระทบต่ออาการของโรค ได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนเลือกทานค่ะ
- เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี เนื่องจากน้อง ๆ ยังเป็นวัยที่ร่างกายสามารถผลิตคอลลาเจนได้ดี การทานอาหารเสริมจึงยังถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น และอาจกระทบต่อการทำงานของร่างกายในอนาคตได้
อยากผิวใสแต่ไม่ชอบกินอาหารเสริม ทำยังไดี
แม้ว่าอาหารเสริมต่าง ๆ จะได้รับความนิยมจากผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในปัจจุบัน แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่รู้สึกไม่ชอบการทานอาหารเสริม และมักลืมทานอยู่เป็นประจำจนทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามกรอบเวลาที่ตั้งใจไว้ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่อยากฟื้นฟูผิว แต่ไม่นิยมทานทั้งคอลลาเจนและอาหารเสริมอื่น ๆ หมอมะปรางขอแนะนำการทำหัตถการทางการแพทย์ ที่ใช้เวลาในการฟื้นฟูผิวไม่นานและให้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการ
โดยที่ Amara Clinic เรามีบริการด้านการดูแลรักษาผิวกายและผิวหน้าที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การทำยกกระชับผิว การปรับสีผิวให้กระจ่างใสขึ้น และ การรักษาหลุมสิวและรอยดำต่าง ๆ แต่เนื่องจากวันนี้เราได้พูดคุยกันถึงในเรื่องของการเติมคอลลาเจนให้กับร่างกาย หมอจึงขอแนะนำเป็น การเติมคอลลาเจนด้วย Vitamin Aura และ การกระตุ้นคอลลาเจนด้วย Ultraformer III ถ้าอยากรู้ว่าทั้งสองอย่างนี้ดีอย่างไร? ช่วยให้ผิวใสได้จริงไหม? เราไปหาคำตอบพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
สร้างผิวใสเนียนนุ่มด้วย Vitamin Aura
การเติมคอลลาเจนด้วย Vitamin Aura จาก Amara Clinic เป็นคอลลาเจนคุณภาพสูง ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ทันทีที่มีการเติม Vitamin Aura เข้าไปในร่างกาย โดยหมอจะมีทำการเติมคอลลาเจนชนิดนี้ให้กับคนไข้ด้วยวิธีการให้ผ่านทางน้ำเกลือค่ะ ขณะทำคนไข้จะไม่รู้สึกเจ็บระหว่างที่เติมคอลลาเจนเลยค่ะ ดังนั้นใครที่อยากผิวสวยโดยไม่ต้องเจ็บตัวจนเกินไป วิธีนี้ถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมมาก ๆ ค่ะ
ข้อดีของการเติม Vitamin Aura
- ช่วยให้ผิวพรรณมีความเนียนนุ่มยิ่งขึ้น
- ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
- ร่างกายสามารถดึงคอลลาเจนไปใช้ได้ทันที
- ผิวใสออร่าแลดูสุขภาพดียิ่งขึ้น
- บำรุงกระดูกและข้อต่อให้แข็งแรง
- วิธีการทำไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาไม่นาน
Vitamin Aura เหมาะกับใครบ้าง?
การเติม Vitamin Aura เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวดูโทรมและแห้งกร้าน โดยเฉพาะคนไข้ที่มีอายุวัย 30 ปีขึ้นไป ที่กำลังมีปัญหาทั้งในเรื่องผิวที่เสื่อมโทรม ผมที่ร่วงเยอะขึ้น และอาการปวดข้อที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ เพราะวัยนี้เป็นวัยที่ร่างกายเริ่มผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง แต่มีการสูญเสียคอลลาเจนในปริมาณเท่าเดิมกับตอนอายุ 20 ต้น ๆ จึงทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการเติมคอลลาเจนให้ร่างกายด้วย Vitamin Aura จึงเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์อย่างมากค่ะ อีกทั้ง Vitamin Aura ยังเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบทานคอลลาเจนให้ยุ่งยาก หรือผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแต่กลัวเข็มหรือกลัวเจ็บ อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ไม่ต้องมากังวลว่าจะกินคอลลาเจน ตอนไหนดี กินตัวไหนดีอีกด้วยค่ะ
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วย Ultraformer III
นอกจากการเติมคอลลาเจนให้ผิวด้วย Vitamin Aura แล้ว ที่ Amara Clinic เรายังมีเครื่องมือที่ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้กับผิวได้อย่างมีประสิทธภาพด้วยเครื่อง Ultraformer III นวัตกรรมยกกระชับผิวที่นำพลังคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ที่มีความเข้มข้นสูง หรือ MMFU (Micro & Macro Focused Ultrasound) มาใช้การยกกระชับผิวให้เรียบเนียน เต่งตึง แลดูอ่อนเยาว์ได้โดยไม่ต้องทำการผ่าตัดหรือฉีดสารอะไรเลยค่ะ โดยคลื่นนี้สามารถลงลึงถึงชั้นผิวหนังแท้ที่มีคอลลาเจนอาศัยอยู่ ทำให้ผิวหน้าที่หย่อนคล้อยและดูโทรม กลับมาเปล่งปลั่งขึ้นได้อย่างเห็นได้ชัดเลยค่ะ
ข้อดีของการทำ Ultraformer III
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน
- ฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียนและเต่งตึงยิ่งขึ้น
- ลดปัญหาริ้วรอย ความหย่อนคล้อย
- ปรับรูปหน้าให้เรียวสวยขึ้น
- ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องเปิดแผล
- ไม่ก่อให้เกิดปัญหาผิวไหม้
Ultraformer III เหมาะกับใครบ้าง
สำหรับการทำ Ultraformer III ถือเป็นวัตกรรมที่ทำขึ้นมาตอบโจทย์ คนที่กำลังมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและมีปัญหาริ้วรอยอย่างมากเลยค่ะ โดยเฉพาะคนที่มีความกังวลในเรื่องการผ่าตัดหรือการฉีดสารเคมีเข้าไปในผิว จะเหมาะกับการฟื้นฟูผิวด้วย Ultraformer III อย่างมากค่ะ เพราะอย่างที่หมอได้กล่าวไปว่าการทำ Ultraformer III เป็นการปล่อยคลื่นอัลตร้าซาวด์ลงไปเพื่อกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนได้ดีขึ้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวแบบตรงจุดค่ะ
รีวิว ทำยกกระชับพร้อมกระตุ้นคอลลาเจนด้วย Ultraformer III
บทความที่เกี่ยวข้อง
สรุป
หลังจากรักษาเส้นเลือดฝอยที่หน้า เส้นเลือดฝอยที่แก้ม เส้นเลือดฝอยที่จมูก รวมถึงฝ้าเลือดแล้ว หมอแนะนำให้ดูแลผิวพรรณอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเกิดเส้นเลือดฝอยที่หน้า ด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดเส้นเลือดที่หน้า เช่น แสงแดด, การทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง, ยาทาหรือครีมที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ เช่น พวกครีมหน้าขาว หรือครีมทาฝ้า หากจำเป็นต้องใช้ ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง และใช้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น สำหรับปัญหาเส้นเลือดฝอยที่หน้าอาจไม่ได้ส่งผลต่อสุขภาพ และไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากปล่อบทิ้งไว้นาน ก็อาจทำให้เส้นเลือดที่หน้าลุกลามจนทำให้ขาดความมั่นใจได้ หมอจึงแนะนำให้เข้ามาปรึกษาที่ Amara Clinic ได้ค่ะ หรือสามารถแอดไลน์เพื่อพูดคุยปรึกษาหมอได้ที่ LINE : @amaraskin