เมื่อแผลสดเริ่มแห้งสนิทสิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงได้ยากอย่าง “รอยแผลเป็น” ก็เผยชัดขึ้นมาติด ๆ ความหวังที่จะได้มีผิวเรียบเนียนไร้ที่ติ ดูเหมือนจะต้องหยุดอยู่ที่ปัญหารอยแผลเป็นที่แสนกวนใจ วันนี้หมอตวง Amara Clinic จึงอยากจะมาพูดคุยกับทุกคนในเรื่องนี้ให้มากขึ้น พร้อมแนวทางการรักษารอยแผลเป็นให้จางลงอย่างเห็นผลจริง หมอต้องขอเล่าก่อนเลยว่าคนไข้ส่วนใหญ่ที่มีปัญหารอยแผลเป็น มักจะเจอกับปัญหาแก้ไม่ตกในเรื่องนี้ หลายคนลองรักษาด้วยตัวเองจากวิธีต่าง ๆ ทั้งใช้สมุนไพรก็แล้วทายาก็แล้ว แต่เจ้าแผลเป็นก็ดูเหมือนจะไม่จางลงอย่างที่หวังไว้ นั่นเป็นเพราะว่าทุกคนอาจจะยังเลือกใช้แนวทางการรักษาที่ไม่เหมาะสมกับประเภทของแผลเป็น
เพื่อการรักษารอยแผลเป็นที่เหมาะสมและถูกต้อง หมอจึงอยากให้ทุกคนทำความรู้จักถึงสาเหตุของการเกิดแผลเป็น และประเภทของแผลเป็นต่าง ๆ ก่อนค่ะ ว่าแต่ละแบบมีอะไรบ้างแล้วเราควรจะรับมือกับแผลเป็นแต่ละแบบอย่างไร พร้อมเทคนิคการลดเลือนรอยแผลเป็น – หมอตวง Amara Clinic
รอยแผลเป็น เกิดจากกระบวนการรักษาแผลของร่างกายตามธรรมชาติ เมื่อผิวหนังของเราเกิดการบาดเจ็บจนทำให้เนื้อเยื่อเสียหาย ร่างกายจะผลิตโปรตีนชนิดหนึ่งขึ้นมานั่นก็คือ ‘คอลลาเจน’ ที่เราต่างคุ้นเคยกันดี โดยคอลลาเจนจะถูกผลิตมากขึ้นในช่วงที่เรามีแผลค่ะ เพื่อช่วยในการรักษาเนื้อเยื่อที่เสียหาย ทำให้ผิวหนังกลับมาเป็นปกติและแนบสนิทอีกครั้ง แต่โดยส่วนใหญ่แล้วหลังแผลสดเริ่มแห้ง คอลลาเจนจะยังคงถูกผลิตออกมาเรื่อย ๆ และเลือดจะถูกส่งมาเลี้ยงในส่วนที่เป็นแผลมากกว่าปกติ ทำให้รอยแผลของเราเกิดความนูนและแดงขึ้นมา แต่ละคนก็จะมีลักษณะของแผลเป็นที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดบาดแผลค่ะ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้คนเราเกิดบาดแผลจนกลายเป็นรอยแผลเป็นได้ มาจากสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้ค่ะ
-
สิว
ปัญหาสิว สามารถส่งผลให้เกิดรอยแผลเป็นบนใบหน้าได้มากที่สุดเลยค่ะ หรือจะเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือปัญหาหลุมสิวนั่นเองค่ะ หลุมสิวจัดว่าเป็นรอยแผลเป็นชนิดหนึ่งที่มักจะเกิดหลังจากสิวอักเสบหาย และขึ้นบนใบหน้าเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหลุมสิวมีหลายประเภทด้วยกันและมีความยากในการรักษาแตกต่างกันไปค่ะ
-
อุบัติเหตุ
สำหรับรอยแผลเป็นที่ขา แขน และบริเวณลำตัว ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นรถล้ม หกล้ม โดนของมีคม และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุมักจะมีความลึกและมีขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีความนูนและสีที่เด่นชัดทำให้ผิวดูมีตำหนิและปกปิดได้ยาก
-
การผ่าตัด
ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาสุขภาพหรือการผ่าตัดศัลยกรรมตกแต่ง ต่างก็ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ที่ผิวหนังบริเวณที่ทำการผ่าตัด ซึ่งรอยแผลเป็นจะมีขนาดและความรุนแรงที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับขนาดแผลที่เปิดและเทคนิคการผ่าตัดของแพทย์ รวมทั้งการดูแลแผลหลังผ่าตัดด้วยค่ะ
-
ความร้อน
แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก หรือการโดนท่อไอเสีย ล้วนทำให้เกิดแผลเป็นที่มีขนาดใหญ่และรักษาได้ยากค่ะ เนื่องจากเนื้อเยื่อผิวหนังถูกทำลายด้วยความร้อนเป็นบริเวณกว้าง ดังนั้นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นจึงสำคัญอย่างมาก เพราะจะช่วยบรรเทาอาการไม่ให้เกิดผิวหนังอักเสบได้ดียิ่งขึ้นค่ะ
ประเภทรอยแผลเป็นแต่ละแบบ มีอะไรบ้าง?
ตอนนี้ทุกคนเริ่มมีความเข้าใจถึงสาเหตุของรอยแผลเป็นกันมากขึ้นแล้วใช่ไหมคะ? อีกประเด็นที่หมอจะไม่พูดถึงไม่ได้คือประเภทของรอยแผลเป็น ต้องบอกว่าแต่ละคนที่เข้ามารักษารอยแผล
-
แผลเป็นหลุมลึก Acne scars
แผลเป็นแบบหลุมลึกมักเกิดจากสิวและอีสุขอีใส มีลักษณะเป็นรอยแผลเป็นขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้ สามารถปกปิดได้ในระดับหนึ่งด้วยการแต่งหน้า แต่หากสังเกตใกล้จะมองเป็นเป็นหลุมหรือเป็นคลื่น
-
คีลอยด์ Keloid
เป็นแผลที่มีลักษณะนูนและมักเงาหากลองเอามือไปจับ จะรู้สึกว่าผิวมีความแข็งคล้ายกับหนังยาง บริเวณที่เป็นแผลจะไม่มีเส้นขนเกิดขึ้นและสามารถขยายใหญ่ขึ้นจากขอบเขตแผลเดิมได้ค่ะ โดยระยะแรกแผลจะเป็นสีแดงหรือออกม่วงเมื่อผ่านไปสักพักจะค่อย ๆ ซีดลงเรื่อย ๆ ในบางคนอาจมีอาการคันและแสบร้อนร่วมด้วยได้ค่ะ
-
แผลเป็นนูน Hypertrophic scars
สำหรับรอยแผลเป็นชนิดนี้จะมีความนูนคล้ายคลึงกับแผลคีลอยด์ แต่ว่าแผลจะนูนขึ้นมาแค่เฉพาะบริเวณที่เคยเกิดแผลสดมาก่อนเท่านั้นค่ะ จะไม่ขยายใหญ่ออกมาเหมือนกับแผลคีลอยด์ นอกจากนี้ความนูนของแผลสามารถหนาขึ้นได้ค่ะ หลายคนที่เป็นแผลเป็นชนิดนี้มักจะเริ่มจางลงในช่วง 2-5 ปี หลังจากมีแผลเป็นขึ้นมา
-
แผลเป็นหดรั้ง Contracture Scar
เป็นรอยแผลเป็นที่มีลักษณะหดรั้ง ทำให้เกิดความลำบากในการขยับร่างกายส่วนที่มีแผลเป็น ซึ่งแผลเป็นประเภทนี้มักเกิดจากการที่ผิวหนังโดนไฟไหม้รุนแรง จึงเป็นแผลที่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่ผิวหนังได้อย่างมาก ในบางคนอาจมีความเสียหายได้ลึกถึงกล้ามเนื้อหรือปลายประสาท ทำให้การรักษาแผลเป็นชนิดนี้มีขอบเขตที่ใหญ่และรักษาได้ยากมากค่ะ
รอยแผลเป็น ปล่อยไว้จะจางเองได้ไหม?
รอยแผลเป็นสามารถจางลงเองได้ค่ะแต่จะยังคงมองเห็นได้ชัด โดยปกติหลังจากเกิดรอยแผลเป็นประมาณ 2 ปี แผลจะมีความจางลงหรือสีซีดลงแต่ไม่อาจหายขาดได้เอง ดังนั้นในปัจจุบันคนส่วนใหญ่จึงนิยมเข้ามารักษารอยแผลเป็นตั้งแต่ยังเป็นแผลใหม่ ๆ เพื่อให้ความชัดและขนาดของแผลเป็นจางลงเร็วกว่าการรอให้หายเอง ซึ่งการรักษารอยแผลเป็นก็จะมีตั้งแต่ การใช้ยาลดรอยแผลเป็น การใช้เลเซอร์ และการใช้เครื่อง RF เข้าช่วย ซึ่งแต่ละวิธีก็จะใช้เวลาในการรักษาและให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันออกไปค่ะ ซึ่งไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีใดหมอก็ขอแนะนำให้ทำไว้จะดีที่สุดค่ะ ดีกว่าปล่อยไปอย่างนั้นจนผิวของเราต้องทนมีรอยอยู่นานหลายปีค่ะ
รอยแผลเป็นรักษาอย่างไรให้จางลงเร็ว ๆ !!
ใครที่ไม่อยากให้ผิวสวย ๆ ของเรามีรอยแผลเป็นเกาะติดตัวตลอดเวลา หมอขอแนะนำแนวทางการรักษารอยแผลเป็น ที่จะช่วยทำให้แผลเป็นจางลงอย่างเห็นได้ชัดภายใน 1 สัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็น แผลเป็นนูน แผลคีลอยด์ แผลผ่าตัด หรือแผลหลุม หมอตวงก็สามารถกำจัดให้ทุกคนได้อย่างอยู่หมัดแน่นอนค่ะ อีกทั้งวิธีนี้ยังใช้เวลาในการรักษาน้อยและไม่ต้องพักฟื้นให้ยุ่งยากอีกด้วยค่ะ ซึ่งการรักษารอยแผลเป็นดังกล่าวก็คือ การรักษารอยแผลเป็นด้วยเลเซอร์และคลื่น RF ที่ทาง Amara Clinic ได้เลือกนำเข้าเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาผิวหนัง มาใช้ในการรักษาคนไข้ทุกเคสให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง พร้อมแล้วเราไปดูรายละเอียดการรักษาที่ด้านล่างได้เลยค่ะ
รักษารอยแผลเป็นด้วยเลเซอร์
การรักษารอยแผลเป็นด้วยการนำเทคโนโลยีเลเซอร์มาใช้ ถือเป็นอีกวิธีการักษาที่ได้รับความนิยมมานานและแพร่หลายในหลายประเทศอย่างมากค่ะ เนื่องจากคลื่นเลเซอร์มีคุณสมบัติในการช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นให้จางลงได้ โดยเฉพาะแผลเป็นที่เกิดจากอุบัติเหตุ แผลผ่าตัด และแผลคีลอยด์ ซึ่งประสิทธิภาพหลังทำขึ้นอยู่กับเครื่องเลเซอร์ที่ใช้บวกกับความชำนาญของแพทย์ที่ให้การรักษา สำหรับการรักษารอยแผลเป็นที่ Amara Clinic หมอจะใช้เป็นเครื่อง Pico Laser ในการรักษาค่ะ ใครที่กำลังสงสัยว่าเครื่องนี้คืออะไรและรักษารอยแผลเป็นได้อย่างไร หมอได้อธิบายถึงหลักการทำงานที่ด้านล่างแล้วค่ะ
Pico Resolve Laser รักษารอยแผลเป็น เผยผิวเรียบเนียน
ที่ Amara Clinic เราได้นำเครื่องเลเซอร์ Pico Resolve Laser ที่มีเทคโนโลยี Picosecond มาใช้ในการรักษารอยแผลเป็น ซึ่งความพิเศษของ Picosecond คือความสามารถในการปล่อนแสงเลเซอร์ลงสู่ชั้นผิวได้อย่างรวดเร็ว โดยการนับเวลาของ 1 Picosecond เทียบเท่า 1 ในล้านล้านวินาที่ ซึ่งถือเป็นความเร็วแสงที่มากกว่าเครื่องเลเซอร์รุ่นเก่า ๆ อย่าง Q-switched ทำให้ Pico Resolve Laser มีค่าพลังงานที่สูงพอในการทำให้เม็ดสีเมลานินต่าง ๆ ถูกทำลาย จนกลายเป็นผงละเอียดและร่างกายขับออกไปง่ายยิ่งขึ้นค่ะ ทำให้สีของรอยแผลเป็นจางลงอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ตัวแสงเลเซอร์ยังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้รอยแผลเป็นจำพวกหลุมสิวมีความตื้นขึ้นด้วยค่ะ ดังนั้นจึงมั่นใจได้เลยค่ะว่าหลังทำผิวของคนไข้จะมีความเรียบเนียนยิ่งขึ้นค่ะ
ข้อดี
- ช่วยลดเลือยรอยแผลเป็นได้หลายชนิด
- ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้น สามารถกระชับรูขุมขนได้ไปในตัว
- ไม่เกิดปัญหาผิวหนังไหม้หลังทำ
- ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำวันต่อมาสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ
- สามารถปรับความยาวคลื่นให้เหมาะสมได้ตามเคส
- ใช้เวลาในการรักษาน้อยโดยเวลารักษาต่อครั้งอยู่ที่ประมาณ 30-45 นาที
- มีระบบลมเย็น Air cooling ทำให้ผิวสบายยิ่งขึ้น
รักษารอยแผลเป็นด้วยคลื่น RF
สำหรับการรักษารอยแผลเป็นเทคนิคถัดมาคือ การนำพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ RF มาใช้รักษารอยแผลเป็น โดยการส่งคลื่นลงไปยังชั้นผิวหนังที่ต้องการทำการรักษา ตัวคลื่นจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวหลังทำกระชับและรอยแผลเป็นจางลงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะแผลเป็นประเภท แผลนูน คีลอยด์ แผลเป็นหลังผ่าตัด และหลุมสิว ซึ่งคลื่น RF แต่ละแบบก็มีความแตกต่างกันในเรื่องของพลังงานแลประสิทธิภาพในการรักษา โดยเครื่อง RF ที่ทาง Amara Clinic ได้นำเข้ามาใช้ในการรักษาปัญหาผิวให้กับคนไข้คือ เครื่อง Morpheus8 ที่เป็นนวัตกรรมคลื่น RF พลังงานสูงและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อผิวหนัง พร้อมแล้วเราไปทำความรู้จักเครื่องนี้ให้มากขึ้นเลยค่ะ
Morpheus8 รักษารอยแผลเป็นให้จางลงด้วยคลื่น RF
เครื่อง Morpheus8 ถือเป็นอีกเครื่องมือที่มีความสามารถในการรักษารอยแผลเป็น ด้วยการส่งพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ หรือ RF ผ่านเข็มทองคำขนาดเล็กไปยังจุดต่าง ๆ ที่ต้องการทำการรักษา ไม่ว่าจะเป็นรอยแผลเป็นบนหน้าและตามลำตัวก็สามารถใช้เครื่องนี้ได้ในเครื่องเดียวเลยค่ะ ซึ่งตัวคลื่นสามารถปรับได้หลายระดับตั้งแต่ระดับ 2-4 จึงสามารถแก้ไขปัญหารอยแผลเป็นประเภทต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุม เมื่อตัวคลื่นลงไปสู่ใต้ชั้นผิวจะก่อให้เกิดการสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอิลาสติน รวมทั้งเกิดการซ่อมแซมผิวหนังใหม่พร้อมลดความเข้มของเม็ดสีเมลานิน รอยแผลเป็นจึงดูจางลงและผิวหนังมีความเรียบเนียนยิ่งขึ้น
ข้อดี
- ลดรอยแผลเป็นให้จางลงอย่างมีประสิทธิภาพ
- ผิวอิ่มฟูและมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น
- ไม่ก่อให้เกิดอาการผิวไหม้ตามมา
- ช่วยซ่อมแซมการเรียงตัวของคอลลาเจนและอิลาสตินให้ดียิ่งขึ้น
- ปรับสีผิวให้มีความกระจ่างใสขึ้น
- หลังทำผิวเนียนกระชับยิ่งขึ้น
- มีความยาวคลื่นหลายระดับ ทำให้แก้ปัญหาผิวหนังได้อย่างเหมาะสม
เป็นแผล ห้ามกินอะไร? การกินส่งผลต่อแผลจริงไหม?
เวลาที่ร่างกายของเรามีแผลสด ไม่ว่าจะเป็นแผลจากการทำศัลยกรรมหรือแผลอุบัติเหตุ หลายคนมักจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาหารแสลง ที่เรามักได้ยินว่ากินแล้วแผลจะหายช้าควรงดกินเวลามีแผล เช่น อาหารประเภทไข่ ของหมักดอง และอาหารทะเลเป็นต้น หมอต้องขออธิบายอย่างนี้ค่ะเวลาที่ร่างกายของเรามีแผล สิ่งที่ส่งผลให้เกิดการอักเสบคือสิ่งสกปรกต่าง ๆ แต่ไม่ใช่เพราะอาหาร ดังนั้นไม่ว่าเราจะทานอาหารประเภทไหนเวลาที่มีแผลก็ไม่อาจส่งผลต่อแผลได้โดยตรงค่ะ แต่เราควรระวังในเรื่องของความสะอาดบริเวณแผลมากกว่าค่ะ ดังนั้นหมอขอบอกว่าไม่มีอาหารประเภทไหนที่บ่งชัดว่าควรงดเมื่อเป็นแผล แต่ให้ระวังในเรื่องของความสะอาดในอาหาร เพราะสิ่งสกปรกที่ปนเปื้อนมากลับอาหารจะส่งผลต่อร่างกายภายในได้อย่างมากค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง
สรุป
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับสาระความรู้และแนวทางการรักษารอยแผลเป็น ที่หมอได้นำมาฝากทุกคนในวันนี้ หมอเชื่อว่าตอนนี้ทุกคนจะมีความเข้าใจในสาเหตุของรอยแผลเป็น ประเภทรอยแผลเป็น รวมทั้งยังได้ไอเดียดี ๆ ในการรักษารอยแผลเป็นทั้งบนใบหน้าและแผลเป็นที่แขน ขา กันมากขึ้นแล้วนะคะ ทั้งนี้หากท่านใดที่คิดว่าวิธีที่หมอแนะนำตอบโจทยต่อความต้องการ สามารถทักแอดมินผ่าน LINE : @amaraskin เพื่อสอบถามเพิ่มเติมหรือจะทักมานัดคิวเพื่อปรึกษากับหมอก็ได้เช่นกันค่ะ หมอตวง Amara Clinic พร้อมให้คำปรึกษาทุกท่านเสมอค่ะ