สวัสดีค่ะวันนี้มาพบกับ หมอตวง แพทย์ผิวหนังจาก Amara Clinic อีกเช่นเคยนะคะ สำหรับในบทความนี้เราจะมาพูดคุยกันถึงปัญหาผิวที่เรียกได้ว่าคนไทยเราเป็นกันเยอะมาก ๆ เลยค่ะ นั่นก็คือ “ปัญหาฝ้า” ที่ทั้งกวนใจและรักษาได้ยากจนหลายคนเริ่มท้อใจต่อการรักษา แต่หมออยากบอกว่าอย่าเพิ่งหมดหวังนะคะ เพราะในปัจุบันเครื่องมือทางการแพทย์ได้ถูกพัฒนาไปอย่างมาก จนทำให้การรักษาฝ้าเห็นผลดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังใช้เวลาในการรักษาน้อยและไม่ส่งผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อผิว ดังนั้นวันนี้หมอจึงอยากจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ วิธีรักษาฝ้า ฉบับเร่งด่วน ที่ไม่ว่าจะเป็นหนักแค่ไหนก็สามารถแก้ไขให้จางลงได้ แต่ก่อนที่เราจะไปดูถึงวิธีการรักษา หมอขอแนะนำให้ทุกคนศึกษาถึงสาเหตุของการเกิดฝ้า เพื่อให้เราเข้าใจถึงปัญหาของฝ้าบนใบหน้าเราได้ดียิ่งขึ้น – หมอตวง Amara Clinic
ฝ้า คืออะไร?
ฝ้า (Melasma) คือ ภาวะที่เซลล์สร้างเม็ดสีมากขึ้นจนเกิดเป็นรอยสีน้ำตาลหรือดำ ที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณผิวหน้ามีลักษณะเป็นปื้น มักเกิดได้ง่ายในกลุ่มผู้หญิงที่มีผิวสีเข้ม แต่ทั้งนี้ก็สามารถเกิดขึ้นในกลุ่มผู้ชายได้เช่นกัน เพียงแค่จะพบได้น้อยกว่าผู้หญิง โดยฝ้ามักจะเกิดขึ้นในบริเวณ ใบหน้า หน้าผาก แก้ม จมูก เหนือริมฝีปาก และกราม ในช่วงวัย 30-40 ปีขึ้นไปจะเป็นช่วงอายุที่มีปัญหาหน้าเป็นฝ้ามากกว่าคนวัยอื่น ๆ เนื่องจากปัจจัยที่เกิดจากสุขภาพภายในและปัจจัยรอบข้าง
หลายคนที่เข้ามาปรึกษาหมอมักจะมีคำถามเสมอว่าฝ้ามีการแบ่งประเภทหรือไม่? ซึ่งหมอขอตอบว่า ปัญหาฝ้า มีการแบ่งประเภทเช่นเดียวกับปัญหาสิว หน้าเป็นกระ และจุดด่างดำ โดยฝ้าจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ฝ้าตื้น ฝ้าลึก และฝ้าแบบผสม ซึ่งแต่ละแบบก็มีปัญหาและมีความยากในการรักษาที่แตกต่างกัน
ทำความรู้จักกับประเภทของฝ้า
-
ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma)
เป็นประเภทของฝ้าที่เกิดขึ้นได้ง่ายที่สุด มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลและมีขอบชัด โดยฝ้าตื้นจะมีความลึกอยู่แค่ในบริเวณของผิวหนังกำพร้า จึงทำให้การรักษาได้ไม่ยากมากนัก สามารถรักษาให้จางลงได้ด้วยการใช้ครีมหรือยารักษาฝ้า
-
ฝ้าลึก (Dermal Melasma)
เป็นประเภทของฝ้าที่มีความรุนแรง โดยเกิดขึ้นในชั้นหนังแท้ มีลักษณะเป็นสีม่วงอมน้ำเงินและขอบไม่ชัดเจน คนที่มีปัญหาฝ้าลึกจึงต้องทำการรักษานาน และควรให้แพทย์ผิวหนังเป็นคนทำการรักษาจะได้ผลดีกว่ารักษาด้วยตนเอง
-
ฝ้าแบบผสม (Mixed Melasma)
เป็นประเภทของฝ้าที่มักพบได้บ่อยที่สุด โดยเกิดขึ้นทั้งในชั้นผิวหนังกำพร้าและหนังแท้ มีลักษณะตรงกลางเป็นสีเข้มและขอบมีสีจาง การรักษาฝ้าประเภทนี้สามารถใช้ทั้งยารักษาและทำเลเซอร์ได้ค่ะ แต่ทั้งนี้ควรให้แพทย์ประเมินปัญหาเพื่อแนะนำวิธีการรักษาฝ้าที่เหมาะสมต่อไป
แม้ว่าปัญหาฝ้าจะไม่ได้ส่งผลเสียต่อปัญหาด้านสุขภาพที่รุนแรง แต่ในทางจิตใจปัญหานี้กลับส่งผลกระทบต่อความมั่นใจได้อย่างมากเลยค่ะ ดังนั้นเราจึงได้เห็นครีมรักษาฝ้ามากมายวางขายตามห้างทั่วไป แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าครีมแบบไหนส่งผลดีต่อประเภทของฝ้าที่เราเป็นอยู่ ดังนั้นหมอจึงอยากแนะนำให้ทุกคนที่เป็นฝ้าเข้าพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อวิเคราะห์ถึงประเภทและสาเหตุของฝ้า ซึ่งการรักษาที่เห็นผลดีคือการรักษาอย่างตรงจุด ไม่อย่างนั้นเราอาจต้องเสียเงินซ้ำไปซ้ำมาโดยไม่จำเป็นค่ะ
สาเหตุที่ทำให้เกิดฝ้า
หลายคนอาจสงสัยว่าปัญหาฝ้าเกิดจากอะไร ทั้งที่ดูแลตัวเองดีแต่ทำไมยังเป็นฝ้าได้ วันนี้หมอได้รวบรวมสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ใบหน้าของเรามีฝ้าขึ้นมาได้จากปัจจัยเหล่านี้ค่ะ
แสงแดด
หลายคนที่เคยได้อ่านบทความของหมอมาก่อนคงจะรู้ดีว่า ‘แสงแดด’ ถือเป็นตัวการของปัญหาผิวทั้งหลาย และหนึ่งในนั้นก็คือปัญหาฝ้าบนใบหน้า เนื่องจากในแสงแดดมีรังสียูวีที่หากผิวหน้าเรารับมากเกินไป จะส่งผลให้เซลล์เมลาโนไซต์ (Melanocyte) ทำงานหนักมากขึ้นจนผลิต เม็ดสีเมลานิน (Melanin) ออกมามากกว่าปกติ และหากไม่มีการทากันแดดหรือหลีกเลี่ยงแดด เม็ดสีเมลานินก็จะยิ่งเพิ่มจำนวนและความเข้มยิ่งขึ้น ทำให้เกิดเป็นฝ้าที่เข้าและกระจายไปทั่วหน้าได้ค่ะ นอกจากนี้ยังส่งผลให้หน้าหมองคล้ำและเกิดริ้วรอยตามมาอีกด้วยค่ะ
อายุ
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายเสื่อมโทรม ปัญหาผิวจึงตามมาอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก เนื่องจากการที่ร่างกายผลิตคอลลาเจนได้น้อยลง ทำให้ผิวหนังบางและหย่อนคล้อย รวมทั้งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวก็แย่ลงไปด้วย ดังนั้นฝ้าต่าง ๆ จึงเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นค่ะ
พันธุกรรมและเชื้อชาติ
อีกสาเหตุที่ทำให้คนไทยเราเป็นฝ้าได้ง่ายคือ ปัจจัยทางพันธุกรรมและเชื้อชาติ จะสังเกตได้ว่าในกลุ่มคนเอเชียจะมีปัญหาหน้าเป็นฝ้าได้มากกว่าคนฝั่งตะวันตก เนื่องจากการเติบโตในเขตร้อนและการรับพันธุกรรมในเรื่องของสภาพผิวพรรณจากพ่อแม่ ดังนั้นการมีฝ้าในบางคนจึงสามารถเกิดจากพันธุกรรมที่ได้รับมาแต่เกิดได้ค่ะ
ฮอร์โมน
สำหรับผู้ที่ใช้ยาคุมและผู้หญิงที่มีการตั้งครรภ์ ปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนจะมีมากเกินปกติ ทำให้ฮอร์โมนชนิดนี้ไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีและทำให้ผิวหน้าเกิดฝ้าขึ้นมาได้ อีกทั้งในคนที่มีปัญหาฝ้าอยู่เดิมก็จะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้ฝ้าเกิดสีที่เข้มขึ้นได้ค่ะ
เครื่องสำอางและครีมบำรุงผิวที่มีสารอันตราย
และสาเหตุที่ทำให้หลายคนเกิดปัญหาฝ้าได้ก่อนเข้าสู่วัยกลางคนคือ การใช้เครื่องสำอางและครีมบำรุงที่มีสารหอมระเหยและสารผลัดเซลล์ผิวที่รุนแรง เมื่อมีการใช้เป็นประจำทำให้ผิวหน้าอ่อนแอและบางลง จนทำให้ผิวหน้าไวต่อแสงและเกิดเป็น ฝ้า จุดด่างดำ ในบางคนอาจมีปัญหาผิวหน้าไหม้ร่วมด้วยค่ะ
คอลลาเจน รักษาฝ้าได้ไหม?
การทานคอลลาเจนไม่สามารถช่วยลดเลือนฝ้าได้อย่างชัดเจนค่ะ เนื่องจากคอลลาเจนจัดเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่ช่วยในการบำรุงเนื้อเยื่อทำให้ผิวยืดหยุ่นได้ดี และช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนั้นคอลลาเจนจึงไม่นิยมนำมาใช้ในการรักษาปัญหาฝ้า เพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ต้นตอได้ แต่สามารถนำมาบำรุงผิวให้แข็งแรงและสดใสขึ้นได้ค่ะ คอลลาเจนจึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำมากกว่าค่ะ
รักษาฝ้า อย่างไรให้จางลง เผยผิวกระจ่างใสยิ่งขึ้น
ตอนนี้หมอมั่นใจว่าทุกคนมีความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาฝ้ามากขึ้นแล้วนะคะ ซึ่งประเด็นถัดมาที่หมอจะนำมาแชร์กับทุกคนคือ วิธีรักษาฝ้าให้จ่างลงอย่างเห็นผลโดยไม่ต้องใช้เวลานานเกินรอ เนื่องจากปัญหาฝ้าเป็นสิ่งที่ต้องทำการรักษาถึงต้นเหตุจึงจะเห็นผลดี การใช้เลเซอร์รักษาฝ้าจึงเป็นทางเลือกที่นิยมกันอย่างมากในปัจจุบัน เพราะแสงเลเซอร์สามารถลงเข้าไปรักษาได้ลึกถึงใต้ผิว ไม่ว่าจะเป็นฝ้าแบบไหนก็สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้
ที่ Amara Clinic เรามีบริการรักษาฝ้าจากทั้ง นวัตกรรมแสงกึ่งเลเซอร์ (Lumeeca) และเทคโนโลยีแสงเลเซอร์ (Pico Laser) ที่ทางหมอจะทำการประเมินฝ้าของคนไข้แบบรายบุคคล และเลือกเครื่องมือการรักษาให้เหมาะสมเพื่อผลลัพธ์หลังจากรักษาที่มีประสิทธิภาพสูง สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่าทั้ง 2 แบบนี้ดีอย่างไรและช่วยรักษาฝ้าได้เพราะอะไร ตามไปดูคำตอบที่รายละเอียดด้านล่างได้เลยค่ะ
หน้าใส ไร้ฝ้า ด้วยนวัตกรรมแสงกึ่งเลเซอร์
การรักษาฝ้า ด้วยแสงกึ่งเลเซอร์ หรือ Intense Pulsed Light ที่ Amara Clinic เราจะใช้เครื่อง Lumecca ในการรักษาค่ะ คุณสมบัติของเครื่องนี้จะช่วยในการรักษาฝ้าได้ดีกว่าเครื่อง IPL ทั่วไปถึง 3 เท่า คุณสมบัติของ IPL ชนิดนี้จะสามารถปรับคลื่นความยาวของแสงเพื่อรักษาฝ้าได้อย่างเหมาะสม เมื่อแสงเลเซอร์ถูกปล่อยลงไปที่ผิวหนัง เม็ดสีต่าง ๆ ที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังจะทำปฎิกริยากับแสง โดยการดูดซับแสงเข้าไปจึงทำให้ฝ้าและจุดด่างดำต่าง ๆ บนผิวหน้าจางลงเรื่อย ๆ ช่วยหลังแผลสะเก็ดจะเห็นผลลัพธ์หลังทำที่ชัดเจนมากขึ้น
สำหรับผู้ที่ทำ Lumecca ในครั้งแรกจะสามารถช่วยลดเลือนฝ้าได้ 10-20% หมอจึงขอแนะนำให้ทำ 2-5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับปัญหาความเข้มและการกระจายตัวของฝ้าค่ะ
Lumecca ดีอย่างไร
- ลดปัญหาฝ้าตื้น ฝ้าลึก และฝ้าผสม
- ลดปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ
- เพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- ผิวดูชุ่มชื้นและเรียบเนียนขึ้น
- ผ่านการรับรองมาตราฐาน U.S. FDA
ขั้นตอนการรักษาด้วย Lumecca
สำหรับขั้นตอนในการรักษาฝ้าด้วย Lumecca ไม่ยุ่งยากและใช้เวลาเพียงแค่ 15-20 นาทีเท่านั้นค่ะ โดยหมอทำวิเคราะห์ปัญหาฝ้าของคนไข้เป็นอย่างแรก เพื่อปรับใช้ความยาวแสงเลเซอร์ให้เหมาะสม หลังจากนั้นจะทำการทาเจลเย็นบริเวณที่ต้องการทำการรักษาฝ้า ความรู้สึกระหว่างทำจะไม่เจ็บมากค่ะคล้ายกับการโดดหนังยาดีดที่หน้าค่ะ หลังทำผิวจะมีความแดงเล็กน้อยและสามารถหายไปได้เองค่ะ
รักษาฝ้าให้จางลง ด้วยนวัตกรรมเลเซอร์
อีกหนึ่งวิธีการรักษาฝ้าที่ช่วยให้จางลง คือการใช้นวัตกรรมเลเซอร์ Pico Laser ที่มีเทคโนโลยี Picosecond ซึ่งสามารถปล่อยแสงเลเซอร์ 1 picosecond (1 picosecond = 1 ในล้านล้านวินาที) ต่อ 1 ช็อต ทำให้เครื่องรุ่นนี้มีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวสูงกว่า Nanosecond และ Q-Switched ที่นิยมเมื่อหลายปีก่อนอย่างมากค่ะ สำหรับการทำงานของ Pico Laser จะเป็นการปล่อยแสงเลเซอร์ลงไปที่ชั้นใต้ผิวหนัง เพื่อสลายเม็ดสีให้แตกละเอียดเป็นผงเล็ก ๆ หลังจากนั้นเม็ดเลือดขาวจะทำหน้าที่ในการกำจัดเม็ดสี ให้ออกไปจากร่างกายทางระบบน้ำเหลือง ผิวที่เคยเป็นรอยฝ้าและจุดด่างดำต่าง ๆ จึงจ่างลงอย่างเห็นได้ชัดค่ะ
Pico Laser ดีอย่างไร
- ลดเลือดฝ้าให้จางลง ปรับผิวให้เสมอกัน
- เม็ดสีแตกตัวและถูกกำจัดอย่างมีประสิทธิภาพ
- ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้น ลดเลือนรอยแผลเป็น
- ช่วยกระชับรูขุมขนและหลุมสิว
- ผ่านการรับรองมาตราฐาน U.S. FDA
ขั้นตอนการรักษาด้วย Pico Laser
การรักษาฝ้าด้วย Pico Laser จะใช้เวลาในการรักษาอยู่ที่ 30-45 นาที ขึ้นอยู่กับปัญหาของฝ้าที่คนไข้เป็น โดยขั้นแรกจะมีการทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดก่อนค่ะ หลังจากนั้นหมอจะทายาชาเพื่อป้องกันอาการเจ็บที่อาจเกิดขึ้น การรักษาฝ้าของแต่ละเคสจะใช้ความยาวคลื่นที่ต่างกันออกไป จึงจำเป็นต้องตั้งค่าเครื่องให้เหมาะสมสำหรับทำการรักษาทุกครั้ง ระหว่างที่ทำเลเซอร์ฝ้าจะมีความรู้สึกเจ็บเหมือนมีอะไรแหลม ๆ แทงที่ผิว แต่จะถูกบรรเทาให้ผิวสบายขึ้นด้วยระบบ Air Cooling ที่ปล่อยมาจากตัวเครื่อง ดังนั้นการทำ Pico Laser จึงถือว่าเป็นการรักษาฝ้าที่ไม่ได้สร้างความเจ็บถึงขั้นที่ทนไม่ได้ และยังสามารถเห็นความเปลี่ยนไปได้ตั้งแต่การทำครั้งแรกค่ะ
อันตรายกว่าที่คิดหากรักษาฝ้าไม่ถูกวิธี!!
หลายคนที่เข้ามาปรึกษาปัญหาฝ้ากับหมอ มีไม่น้อยเลยค่ะที่เคยลองทำการรักษาฝ้าด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากความใจร้อนจึงมักเลือกครีมรักษาฝ้าที่มีสารรุนแรง เช่น ปรอท ตะกั่ว และสร้างผลัสเซลล์ผิวที่รุนแรง จนทำให้เกิดปัญหาผิวหน้าบางและมีสารเคมีตกค้างในผิวได้ ดังนั้นหากใครที่สังเกตเห็นว่าตัวเองเริ่มมีฝ้าขึ้นมา หมอแนะนำให้พยายามหลีกเลี่ยแสงแดดให้ได้มากที่สุด และควรมั่นทากันแดดที่มีค่า SPF 30+ ขึ้นไป หากต้องการใช้ยารักษาฝ้าหมอแนะนำให้ซื้อกับทางเภสัชกรเท่านั้น เพราะหากเราซื้อทางออนไลน์ที่ไม่มีการบอกถึงแหล่งผลิตและส่วนผสมที่ชัดเจน ถือว่าเป็นอะไรที่อันตรายต่อสุขภาพผิวอย่างมากค่ะ
สรุป
เชื่อว่าตอนนี้ทุกคนมีไอเดียการรักษาฝ้าดี ๆ กันแล้วใช่ไหมคะ แม้ว่าฝ้าจะแก้ยากแค่ไหนแต่ก็สามารถแก้ไขได้ดังนั้นอย่าเพิ่งหมดหวังกับการรักษานะคะ และหากว่าใครยังไม่แน่ใจว่าปัญหาฝ้าแบบที่ตนเองเป็นอยู่จัดอยู่ในประเภทไหน และรักษาด้วยเครื่องมือตัวไหนจะเหมาะสมที่สุด ทุกคนสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อนัดคิวเข้ามาปรึกษากับหมอที่ Amara Clinic ได้เลยค่ะ หรือจะสอบถามข้อสงสัยอื่น ๆ ผ่านช่องทาง LINE : @amaraskin ก็ได้เช่นกันค่ะ