ปัญหาผิวพรรณที่เกิดจากแสงแดด ทั้งฝ้า กระ จุดด่างดำ สีผิวหมองคล้ำ ทำให้ผิวหน้าไม่กระจ่างใส ไม่เกลี้ยงเกลา หลายคนต้องคอยแต่งหน้าเพื่อกลบปัญหาสีผิวเหล่านี้ ซึ่งปัญหาผิวที่หมอมักจะเจอเป็นอันดับต้น ๆ นั่นก็คือ ฝ้าเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในชนิดของฝ้าที่หลายคนกลุ้มอกกลุ้มใจ เพราะรักษาด้วยครีมบำรุงทั่วไปไม่หาย เนื่องจากฝ้าเลือดชนิดนี้มีสาเหตุจากเส้นเลือดบนใบหน้าค่ะ วันนี้หมอตวง (แพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง Amara Clinic) จะพาทุกคนไปเจาะลึกข้อมูลกันว่า ฝ้าเลือด คืออะไร, ฝ้าเลือด เกิดจากอะไร, ฝ้าเลือดรักษาหายหรือไม่ และฝ้าเลือดรักษายังไงให้ผิวกลับมาเกลี้ยงสวยได้อีกครั้งค่ะ
ฝ้าเลือด คือ ลักษณะรอยแดงของเส้นเลือด และมีลักษณะเป็นปื้นแดง ๆ ถ้ามองเข้าไปใกล้ ๆ จะเห็นเป็นรอยเส้นเลือดฝอยที่หน้า บางรายอาจมีฝ้าเลือดเป็นรอยแดงปนน้ำตาล หรือสีชมพู หรืออาจมีสีที่เข้มขึ้นจนคล้ำ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดฝอย โดยเฉพาะเวลาที่ผิวหน้าโดนรังสียูวีจากแสงแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน จะส่งผลให้เซลล์ผิวหนังเสื่อมสภาพและบางลง ทำให้เส้นเลือดฝอยแตกแขนง และไปกระจุกตัวรวมกัน ส่งผลให้ผิวหน้าแดงขึ้น จนทำให้เห็นฝ้าเลือดเข้มและชัดขึ้น เนื่องจากเส้นเลือดฝอยที่หน้าเหล่านี้จะไปหลั่งสาร VEGF (Vascular Endothelial Growth Factor) ในเส้นเลือด ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานินในผิว ทำให้ฝ้าเลือดเข้มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเองค่ะ
ลักษณะฝ้าเลือด
ฝ้าเลือด หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Telangiectetic melasma หรือ Vascular melasma เป็นชนิดของฝ้าที่มีความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยร่วมด้วย และมักจะพบได้ในคนไทย เนื่องจากบ้านเรามีแสงแดดที่ค่อนข้างร้อนจัด ลองสังเกตง่าย ๆ ดูค่ะว่า คนที่มีฝ้าเลือด เมื่ออยู่กลางแดดจัดเป็นเวลานาน ผิวหน้ามักจะแดงก่ำ แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในที่ร่ม ผิวหน้าก็ยังแดงอยู่นานกว่าปกติ โดยทั่วไปแล้ว บริเวณที่มักจะพบฝ้าเลือด คือ บริเวณแก้มและสันจมูกค่ะ ซึ่งนอกจากแสงแดดที่เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้าเลือดแล้ว ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดฝ้าเลือดได้อีกเช่นกันค่ะ เดี๋ยวเราไปดูกันค่ะว่าฝ้าเลือก เกิดจากอะไรได้บ้าง
Check ปัญหาฝ้าที่เป็น! ฝ้ามีกี่ประเภท? ลักษณะเป็นยังไง?
- ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma) อยู่ระดับชั้นผิวหนังกำพร้า มีลักษณะสีน้ำตาลและมีขอบชัด สามารถรักษาให้หายได้เร็ว ด้วยการใช้ยารักษาฝ้า
- ฝ้าลึก (Dermal Melasma) เป็นชนิดฝ้าที่เกิดในชั้นผิวหนังแท้ (ลึกกว่าฝ้าตื้น) มีลักษณะฝ้าเป็นสีม่วงอมน้ำเงิน มีขอบไม่ชัด มักจะรักษาเองไม่หายขาด ควรเข้ารักษากับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง
- ฝ้าเลือด (Telangiectetic melasma / Vascular melasma) เป็นชนิดฝ้าที่เกิดร่วมกับความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยบนใบหน้า มีลักษณะเป็นปื้นสีแดง เห็นเป็นรอยเส้นเลือด ซึ่งฝ้าเลือดเป็นชนิดที่แนะนำให้รักษากับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง
- ฝ้าผสม (Mixed Melasma) เป็นชนิดฝ้าที่เกิดในชั้นผิวหนังกำพร้าและชั้นผิวหนังแท้ มีลักษณะตรงกลางเป็นสีเข้ม และขอบเป็นสีจาง สามารถใช้ยารักษาฝ้าร่วมกับการทำเลเซอร์ได้
ฝ้าเลือด เกิดจากอะไร
- ฝ้าเลือด คือ ฝ้าที่เกิดขึ้นจากการโดนแสงแดดจัดสะสมเป็นเวลานาน จนทำให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพและผิวบางลง รวมถึงแสงแดดยังเป็นตัวกระตุ้นเส้นเลือดฝอยที่หน้าให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น และมีสีที่เข้มขึ้นได้
- ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะในคนที่มีฮอร์โมนเพศหญิงสูง ทำให้ผู้หญิงมักมีปัญหาฝ้าเลือดมากกว่าผู้ชาย หรือจากการใช้ยาคุมกำเนิด หรือแม้กระทั่งในคุณแม่ตั้งครรภ์ ซึ่งมักพบว่าเมื่อคลอดบุตรแล้ว ปัญหาฝ้าเลือดจะจางลงได้เอง
- การใช้ครีมทาฝ้าหรือครีมทาหน้าเร่งขาว ที่มีสารไฮโดรควิโนนและสเตียรอยด์ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งจะทำให้ผิวบางลง และสารสเตียรอยด์ยังทำให้เส้นเลือดฝอยที่หน้าขยายตัว รวมถึงชั้นหนังแท้และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันบางลง จนเกิดเป็นฝ้าเลือดได้
- การใช้ครีมที่ไม่ได้มาตรฐาน มีสารอันตราย เช่น สารปรอท ที่มีอยู่ในครีมหน้าขาว ซึ่งหากใช้ครีมที่มีสารอันตรายเป็นเวลานาน จะทำให้ผิวบางลง เส้นเลือดฝอยขยายตัวเพิ่มขึ้น จนเกิดเป็นฝ้าเลือด
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ฝ้า VS กระ เหมือนหรือต่างกันยังไง? หาคำตอบได้ที่ ฝ้ากระ
- ผิวหน้าไหม้ที่เกิดจากแสงแดด เป็นแบบไหน ต้องรักษายังไงให้หาย! อ่านเพิ่มเติมได้ที่ หน้าไหม้แดด
ฝ้าเลือดรักษาหายไหม ฝ้าเลือดรักษายังไง
หลายคนมักจะเข้าใจว่า ปัญหาฝ้าชนิดต่าง ๆ รวมถึงฝ้าเลือด คือ ปัญหาผิวที่รักษายาก รักษาไม่หาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นฝ้าชนิดไหน ๆ ก็สามารถกรักษาให้หายได้ โดยเราจะต้องแยกให้ได้ก่อนว่า ตอนนี้เรามีปัญหาฝ้าชนิดใด ซึ่งฝ้าแต่ละชนิดก็ต้องมีวิธีรักษาที่แตกต่าง หากเรารักษาฝ้าได้ตรงตามชนิดที่เกิดขึ้นได้ รวมไปถึงรักษาฝ้าเลือดได้ตรงจุด ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดีแน่นอนค่ะ ส่วนฝ้าเลือดรักษายังไงให้หาย เราก็ต้องเริ่มจากดูแลตัวเอง หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้าเลือด รวมไปถึงเข้ารับการรักษาจากแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังค่ะ
- หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด ๆ และควรทากันแดด 2 ข้อนิ้ว ซึ่งเป็นปริมาณที่แนะนำให้ใช้สำหรับใบหน้า และเพิ่มปริมาณเป็น 2 นิ้วมือ สำหรับทาใบหน้าและลำคอ โดยทาก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง
- สวมหมวกปีกกว้าง หรือกางร่มกันแสงยูวี เพื่อป้องกันแสงแดดที่อาจทำร้ายผิว ทำให้เกิดฝ้า หน้าเป็นกระ และจุดด่างดำ
- งดการใช้ครีมทาฝ้าแรง ๆ ที่มีส่วนผสมของสารไฮโดรควิโดน และสารสเตียรอยด์ หรือครีมที่มีส่วนผสมอันตราย อย่างสารปรอท
- ใช้ครีมรักษาฝ้าที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ อ่อนโยนกับผิวพรรณ เช่น วิตามิน E, วิตามิน C และกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoids)
- ใช้ครีมหรือโลชั่นบำรุงผิว ที่มีส่วนผสมช่วยลดเม็ดสีเมลานินในผิว ซึ่งไม่ทำให้เส้นเลือดฝอยเกิดการขยายตัว เช่น Arbutin, Kojic acid , Thiamidol, Niacinamide หรือ Tranexamic acid
- พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อปรับสมดุลในร่างกาย
- เข้ารับการรักษาฝ้าเลือดกับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง ซึ่งแพทย์อาจพิจารณาการรักษาฝ้าเลือดด้วยเลเซอร์ หรือแสง IPL
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ทำความรู้จักฝ้าแต่ละชนิด และวิธีรักษาอย่างได้ผล อ่านเพิ่มเติมได้ที่ รักษาฝ้า
- จุดด่างดำ รอยดำ จัดการยังไงให้ผิวกลับมาสวยใส สีผิวเท่ากัน หาคำตอบได้ที่ สีผิวไม่สม่ำเสมอ
รักษาฝ้าเลือด ด้วยเทคโนโลยีที่เข้มข้นกว่า IPL ทั่วไป 3 เท่า!
ถ้าจะถามว่า ฝ้าเลือดรักษายังไงให้ตรงจุด ก็ต้องดูแลรักษาตามวิธีที่หมอได้แนะนำไว้ในข้างต้น ร่วมกับการรักษาทางการแพทย์ค่ะ ซึ่งในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยรักษาฝ้าเลือดได้อย่างตรงจุด นั่นก็คือ เครื่อง Lumecca ซึ่งเป็นนวัตกรรมแสงกึ่งเลเซอร์ หรือ Intense Pulsed Light ซึงหลายคนอาจรู้จักกันดีในชื่อ IPL แต่สิ่งที่ทำให้ Lumecca มีความแตกต่างและเหนือชั้นกว่า IPL ทั่วไป คือ Lumecca ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นนวัตกรรมแสงกึ่งเลเซอร์ที่มีพลังงานเข้มข้นกว่า IPL ทั่วไปถึง 3 เท่าเลยค่ะ
เนื่องจากปัญหาฝ้าเลือด คือ ความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยที่มีการขยายตัวมากขึ้น ดังนั้น จะต้องใช้เลือกใช้เทคโนโลยี IPL เพื่อรักษาฝ้าเลือด เพราะมีคุณสมบัติดักจับกับเม็ดเลือดแดงได้โดยตรง และในขณะเดียวกันก็ยังช่วยกำจัดเม็ดสีที่ผิดปกติได้อีกด้วยค่ะ
หลักการทำงานของ Lumecca ในการรักษาฝ้าเลือด
- ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงซึ่งอยู่ในเส้นเลือด รวมถึงเม็ดสีเมลานิน จะดูดซับแสงพลังงานจากเครื่อง Lumecca
- เลือดจับตัวเป็นก้อน และพลังงานที่เปลี่ยนเป็นความร้อนจะไปที่ทำลายผนังหลอดเลืด (เส้นเลือดฝอย) ทำให้เส้นเลือดเกิดการหดตัวลง
- จากนั้น พวกก้อนเลือด เศษผนังหลอดเลือด และเม็ดสีที่ถูกทำลาย จะถูกขับออกโดยระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
ผลลัพธ์หลังรักษาฝ้าเลือดด้วย Lumecca
สำหรับคนไข้ที่รักษารอยโรคของเส้นเลือดต่าง ๆ ฝ้าชนิดต่าง ๆ รวมไปถึงฝ้าเลือด จะสังเกตได้ว่าหลังการรักษาด้วย Lumecca รอยเส้นเลือดฝอยที่หน้าและปื้นแดงจะค่อย ๆ จางลงภายใน 2-3 วันค่ะ ซึ่งจะเห็นผลอย่างชัดเจนหลังจากที่ทำการรักษาประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งหมอแนะนำให้ทำประมาณ 2-5 ครั้งขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความเข้มและการกระจายตัวของฝ้าที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลค่ะ
ดูแลตัวเองหลังรักษาฝ้าเลือด
- หลังการรักษาฝ้าเลือดด้วย Lumecca จะไม่ทำให้เกิดบาดที่ผิว คนไข้จึงสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้น และสามารถแต่งหน้าได้
- หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดจัดโดยตรงประมาณ 1-2 สัปดาห์ โดยแนะนำให้สวมหมวกปีกกว้าง กางร่ม หรือใช้ผ้าปกคลุม หากต้องออกนอกบ้าน
- ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง โดยเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 PA+++ และทาก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที
- งดการสครับผิวหรือการทำทรีทเม้นท์อื่น ๆ เพราะอาจทำให้ผิวบริเวณที่รับการรักษาฝ้าเลือดเกิดอาการระคายเคือง
- งดการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ, วิตามินซี, AHA และ BHA
- งดการล้างหน้าด้วยน้ำร้อน-น้ำอุ่น งดการทำกิจกรรมหรือเล่นกีฬากลางแจ้ง และงดอยู่ในที่ที่ร้อนจัด เช่น การซาวน่า หรือการแช่ออนเซ็น เป็นต้น
- บำรุงผิวหน้าด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์สูตรอ่อนโยน ทั้งก่อนนอนและหลังตื่นนอน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหน้าหลังการรักษา
- หลังรักษาฝ้าเลือด ควรดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง ด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้าเลือด เช่น งดการใช้ครีมที่มีส่วนผสมอันตราย หรือหากจำเป็นต้องใช้ครีมสเตียรอยด์เพื่อรักษาอาการต่าง ๆ ควรอยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์ และใช้ยาในระยะเวลาที่แพทย์แนะนำเท่านั้น
บทความที่เกี่ยวข้อง
สรุป
เอาหละค่ะ หมอหวังว่าหลายคนคงจะพอทราบที่มาที่ไปกันแล้วว่า ฝ้าเลือด คืออะไร ฝ้าเลือด เกิดจากอะไร รวมถึงฝ้าเลือดรักษายังไงให้ได้ผล ซึ่งการรักษาฝ้าเลือดอย่างถูกต้อง และเกิดผลลัพธ์สูงสุด ก็ต่อเมื่อมีการดูแลตัวเอง หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดฝ้าเลือด และการเข้ารับการรักษาฝ้าเลือดกับแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังค่ะ สำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่า ปัญหาฝ้าที่เป็นอยู่จัดอยู่ในประเภทไหน และควรจะรักษาอย่างไร สามารถเข้ามาปรึกษาพร้อมตรวจวิเคราะห์ปัญหาผิวพรรณได้ที่ Amara Clinic ค่ะ หรือสะดวกเป็นแอดไลน์เข้ามาพูดคุยสอบถามได้เลยค่ะที่ LINE : AmaraSkin ส่วนครั้งหน้า หมอจะมีสาระน่ารู้เกี่ยวกับผิวพรรณเรื่องอะไรมาฝากกันอีก อย่าลืมติดตามกันด้วยนะคะ